HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นปิดร่วง 13.72 จุด ตามตลาดต่างประเทศ ขายลดความเสี่ยงหลังไม่เชื่อสัญญาณจากเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.5% และไม่เร่งปรับลดขนาดงบดุล เนื่องจากเงินเฟ้อยังไม่ปรับลง-อียูจะแบนน้ำมันรัสเซียอีก หวั่นเฟดจะใช้ยาแรง ส่งผลลบต่อหุ้น Growth Stock นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 528.09 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 2,385.89 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มสัปดาห์หน้าปรับตัวลงสลับรีบาวด์เพื่อลงต่อ จับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯออกสัปดาห์หน้า พร้อมให้แนวรับ 1,597-1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,658-1,666 จุด
ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 พ.ค.2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,629.58 จุด ลดลง 13.72 จุด หรือ -0.83% มูลค่าซื้อขาย 72,642.09 ล้านบาท โดยดัชนีแตะสูงสุด 1,634.65 จุด ต่ำสุด 1,617.94 จุด
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 528.09 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,371.87 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 2,385.89 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 485.94 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างติดลบ เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ก็ปรับตัวลง จากแรงขายลดความเสี่ยงหลังจากไม่เชื่อว่าการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแค่ 0.5% และจะไม่เร่งปรับลดขนาดงบดุล เนื่องจากเงินเฟ้อยังไม่ปรับตัวลง และอียูก็จะแบนน้ำมันรัสเซียอีก ซึ่งถ้าเงินเฟ้อยังปรับขึ้นสูงอยู่ก็อาจต้องใช้ยาแรง และถ้าใช้ยาแรง กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็อาจจะไม่ดี ส่งผลลบต่อหุ้น Growth Stock เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะเอาคิดในส่วนของ Value ด้วยทำให้มีโอกาสที่จะลดลง
“เศรษฐกิจกำลังจะแย่ ดอกเบี้ยก็จะขึ้น ทำให้คนลดการถือครองหุ้น ซึ่งตลาดของประเทศพัฒนาแล้วได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว แต่ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลง เพราะเงินเฟ้อไม่ได้แร่งขึ้นเยอะ เนื่องจากเศรษฐกิจเรายังไม่ Growth ทางกนง.ก็เลยยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะไม่กระทบเศรษฐกิจไทย แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจ เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นความเสี่ยง อาจทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก อีกทั้งเราก็ปรับราคาดีเซล ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น กำลังซื้อน้อยลง จึงมองกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะแย่กว่าที่คิดไว้ ทำให้หุ้นไทยปรับตัวลง”
นอกจากนี้ ไทยมีความคาดหวังในเรื่องการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลัง ซึ่งไทยพึ่งพิงจีนมาก แต่ขณะนี้จีนก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวอาจไม่มาช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจถ้าจีนไม่เปิดประเทศ เพียงแต่ตอนนี้คนยังคิดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามา และถ้าเงินบาทอ่อนค่าเร็ว ก็อาจจะทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเศรษฐกิจไม่ดี และยังปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกก็จะแย่ไปอีก จึงเป็นที่มาคนไม่ถือหุ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่คนจะไม่เล่นกันเลย อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังสามารถลงทุนหุ้นพวก Defensive และพวก Domestic Plays ได้
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้าตลาดฯคงจะปรับตัวลงสลับรีบาวด์เพื่อลงต่อ โดยให้ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า และติดตามจีนจะเปิดประเทศเมื่อไร พร้อมให้แนวรับ 1,597-1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,658-1,666 จุด
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
SCB ปิดที่ 113.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ -1.73% มูลค่าซื้อขาย 2,117.03 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 147.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -0.34% มูลค่าซื้อขาย 2,075.77 ล้านบาท
BANPU ปิดที่ 12.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +0.81% มูลค่าซื้อขาย 2,043.51 ล้านบาท
EA ปิดที่ 85.25 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ -2.01% มูลค่าซื้อขาย 1,965.14 ล้านบาท
AOT ปิดที่ 66.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ -1.12% มูลค่าซื้อขาย 1,776.39 ล้านบาท