CKP ศึกษาลงทุน’โซลาร์-วินด์ฟาร์ม’ เวียดนาม-ลาว ทำเลเหมาะ

HoonSmart.com>>”ซีเค พาวเวอร์” เดินหน้าลงทุนปี’65 ตั้งงบไว้ 2,600 ล้านบาท มุ่งโครงการหลวงพระบาง ศึกษาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามและสปป.ลาว ก้าวสู่เป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตติดตั้ง 4,800 เมกะวัตต์ใน 3 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มเป็น 2 เท่าจากปี 64 ที่ 2,167 เมกะวัตต์ ส่วนรายได้ปีนี้คาดโต 5-10% แนวโน้มปริมาณน้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ย หนุนน้ำงึม 2 และไซยะบุรีดีอย่างต่อเนื่อง เล็งออกหุ้นกู้ 1,000 ล้านบาทปลายปีนี้

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2565 ไว้ประมาณ  2,600 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ลงทุนโครงการหลวงพระบาง และโครงการพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามและสปป.ลาวเป็นหลัก  เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งให้เป็น 4,800 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มเป็น 2 เท่าจากกำลังผลิตติดตั้งในปี 2564 ที่ผ่านมาจำนวน  2,167 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable) สัดส่วนไม่ต่ำกว่า 95% จากปัจจุบันอยู่ที่ 90% ซึ่งจะเพิ่มมาจากพลังงานลม 700 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 330 เมกะวัตต์ รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ

นอกจากนี้บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวในปี 2570 ที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 เมกะวัตต์

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางใน สปป.ลาว ขนาดกำลังการผลิต 1,460 เมกะวัตต์ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์   (LPCL) ที่ CKP ถือหุ้น 42% นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2565 หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบอัตราค่าไฟแล้ว

นายธนวัฒน์กล่าวว่า CKP ลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น 1.3-1.6 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ระยะเวลาก่อสร้าง 7 ปี กำหนดเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) วันที่ 1 ม.ค.2573 ขณะที่รัฐบาล สปป.ลาว ได้ทำรายงานผลกระทบจากการสร้างโรงไฟฟ้าหลวงพระบางกับยูเนสโก เพื่อรับทราบแล้ว แต่ไม่ใช่ขออนุญาต

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 5-10% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 9,335 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/2565 โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 (NN2) มีปริมาณน้ำไหลเข้าสูงกว่าไตรมาส 1 ราว 87% แต่บริษัทวางแผนผลิตไฟฟ้าแบบอนุรักษ์ ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้ 331 ล้านหน่วยต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่ 410 ล้านหน่วย ขณะที่บริษัทวางแผนผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นในไตรมาสถัดไป จึงเชื่อว่าปีนี้ NN2 จะเป็นปีที่ดี และโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ย 2,121 ต่อลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในไตรมาส 1 และผลิตปริมาณไฟฟ้า 1,404 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 23% และ 19.1% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

แนวโน้มปริมาณน้ำในปีนี้คาดว่าจะสูงว่าค่าเฉลี่ย โดยในไตรมาส 2  น่าจะมีปริมาณน้ำดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/65 จึงคาดว่าปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งน้ำงึม 2 และไซยะบุรีจะดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในไตรมาส 3 เป็นหน้าฝนก็คาดว่าผลการดำเนินงานทั้งโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งดีกว่าปีที่ผ่านมา

นายธนวัฒน์ เปิดเผยอีกว่า  บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทเสนอขายในไตรมาส 4 เพื่อนำเงินไปทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด และล็อกดอกเบี้ยคงที่และระยะเวลายาว ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทยังถือว่าต่ำที่ 0.91% ในสิ้นปี 64 ส่วนราคาก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้น ยอมรับว่ากระทบต้นทุนในส่วนของการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็น 3% ของกำลังการผลิตของบริษัท