HoonSmart.com>> “ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” เปิดกำไรไตรมาส 1/65 พุ่งแตะ 2,055 ล้านบาท เติบโต 40% จากไตรมาสก่อน กวาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 12.4% สินเชื่อขยายตัว 6.6% ส่วนรายได้มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่ม 19.8% ด้านสำรองหนี้ลดเหลือ 1,066 ล้านบาท กด NPL ลงอยู่ที่ 2.93%
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 กำไรสุทธิ 2,055.35 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.43 บาท เติบโต 27.6 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,462.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.73 บาท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทรและบริษัทย่อยยังคงสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ในระดับที่ดีส่งผลให้ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 40.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมจำนวน 1,954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งในส่วนของรายไดด้อกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจการให้สินเชื่อ รวมถึงค่าใช้จ่ายสำรองที่ปรับลดลงตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ด
สำหรับไตรมาส 1/2565 รายไดด้อกเบี้ยสุทธิเพิ่มขี้น 12.4% จากการที่สินเชื่อของธนาคารขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจากการที่ธนาคารมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อไปในประเภทที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและมีคุณภาพสินเชื่อที่ดีโดยสำหรับไตรมาส 1/2565 สินเชื่อเติบโตที่ 6.6%
ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 19.8% โดยเป็นการปรับเพิ่มทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้อื่นๆ โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าประกัน รายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยบล.เกียรตินาคินยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งตลาดสำหรับไตรมาส 1/2565 ที่ 18.74% นอกจากนี้รายได้จากธุรกิจการจัดการกองทุนปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันตามสินทรัพย์ภายใต้การจัดการที่ปรับเพิ่มขึ้น
ด้านของค่าใช้จ่าย อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิลดลงอยู่ที่ 38.4% จากการที่ธนาคารยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางด้านการตั้งสำรองธนาคารยังคงรักษาความรอบคอบระมัดระวังในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับไตรมาส 1/2565 จำนวน 1,066 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนตามคุณภาพสินเชื่อที่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 ปรับลดลงอยู่ที่ 2.93% จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3.0%
ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับสูงที่ 181.2% สำหรับเงินกองทุน ธนาคารยังคงมีสถานะเงินกองทุนอยู่ในระดับที่สูงและเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 15.91%