HoonSmart.com>>บริษัทจดทะเบียนต่างได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบพุ่งพรวด ซึ่งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) โดนเต็มเปา ส่วนต่าง(สเปรด) ธุรกิจปิโตรเคมีลดฮวบ คาดกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1/2565 ทรุดลงประมาณ 40% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นักวิเคราะห์แห่ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นลง หลังปรับประมาณการกำไร แต่กลับชักชวนให้นักลงทุนหาจังหวะซื้อหุ้นเพื่อลงทุน จะได้ผลตอบแทนสุดคุ้ม…
ในปี 2565(ม.ค.-12 เม.ย.) หุ้น SCC ปรับตัวลงมาประมาณ 5.96% นักลงทุนที่ถือเพื่อรอรับเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังหุ้นละ 10 บาท ได้ผลตอบแทนประมาณ 2.6% ก็ไม่คุ้มค่า เพราะวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 เม.ย. หุ้นร่วงซะ 12 บาทและยังคงไหลลงต่อเนื่องจนมาปิดที่จุดต่ำสุดที่ระดับ 363 บาท เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา
ต้นเหตุหนึ่งเกิดจากนักลงทุนปรับพอร์ต และนักวิเคราะห์พร้อมใจกันออกบทวิเคราะห์ 11 เม.ย. ส่วนใหญ่ปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 บางรายมองถึงปี 2566 จึงต้องปรับลดราคาเป้าหมายหุ้นในปีนี้ แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ยกเว้นบล.กรุงศรีให้เพียง “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่แค่ 380 บาท จากเดิมให้ไว้ 420 บาท หลังปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-2566 ลง 27% และ 25% ให้ผลตอบแทนปันผลประมาณ 3.8% ต่อปี
ส่วนนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ราคาเป้าหมายสูงกว่า 400 บาท ในช่วง 460-480 บาท โดยบล.บัวหลวงลดมูลค่าลงจาก 550 บาท เหลือ 480 บาท หลังปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 24% เหลือจำนวน 37,321 ล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ให้ราคาเป้าหมาย 475 บาท และคงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 43,763 ล้านบาทและปีหน้า 47,313 ล้านบาท เทียบกับปี 2564 ที่ 47,174 ล้านบาท
แม้คาดกำไรในไตรมาส 1/2565 จำนวน 8,800 ล้านบาท ลดลง-40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้น+8% จากไตรมาส 4/2564 (QoQ)
สาเหตุที่กำไรลดลงมากYoY มาจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่ลดลงกว่า-28% ขณะที่ดีขึ้น QoQ จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น และมีกำไรจากสต๊อกที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้บริษัทยังคงเร่งปรับราคาขายปูนซีเมนต์ เพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น และหันมาใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนถ่านหินที่ปรับเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะผลักดันให้ EBITDA ของ
ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างดีขึ้น
“1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SCC ปรับตัวลง -5% เชื่อว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงในปีนี้ไปแล้ว นับเป็นจังหวะดีในการเข้าสะสม และรอการฟื้นตัวในปี 2566″บล.ทรีนีตี้ระบุ
ด้านบล.เมย์แบงก์ปรับลดราคาเป้าหมายลง 17% เหลือ 462.50 บาท หลังปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-2566 ลง 18% และ 2% จากต้นทุนที่สูงขึ้น ราคาวัตถุดิบหลักผันผวนสูง คาดราคาหุ้นน่าจะยังชะลอตัวต่อ แต่มองว่าระหว่างนี้จะรับอานิสงส์เมื่อราคาพลังงานผันผวนลดลง อัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5.0-6.5% ในปี 2565-2566 จะช่วยหนุนราคาหุ้น
“ราคาหุ้น SCC วิ่งช้ากว่าดัชนีตลาด( SET) 4% ใน 1 เดือนและ 13% ในช่วง 12 เดือนก่อน เรามองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว จะมีอัพไซด์อยู่ที่การแก้ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน และการดำเนินมาตรการคว่ำบาตร เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะต่อเศรษฐกิจยุโรป ซึ่ง SCC อาจได้รับอานิสงส์ หากโรงงานปิโตรเคมีในเมือง Long San ประเทศเวียดนามเริ่มดำเนินการทดสอบเชิงพาณิชย์ และกระบวนการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทย่อย คือ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) จะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของปี คงแนะนำ ซื้อ”บล.เมย์แบงก์ ระบุ
ส่วนผลการดำเนินงานงวดไตรมาส1/2565 คาดกำไรสุทธิ 9,100 ล้านบาท ลดลง -39% YoY ยอดขายจะเติบโต 23% YoY และ5% QoQ สู่ระดับ 1.504 แสนล้านบาท แต่กำไรจากการดำเนินงานจะลดลง 59% และ 6% เหลือ 6,200 ล้านบาท เนื่องจากกำไรขั้นต้นลดลง และการลงทุน Opex ที่สูงขึ้น EBITDA จากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 27% YoYและทรงตัว QoQ
ด้านบล.หยวนต้าให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 460 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 8,200 ล้านบาท ลดลง-45% จากปีก่อนฐานสูง เพราะไตรมาสแรกปี 2564 การผลิตปิโตรเคมีที่สหรัฐเกิดปัญหา Polar Vortex แต่หากเทียบกับ 4/2564 คาดกำไรประคองตัว -1% เพราะการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงาน -วัตถุดิบ สามารถชดเชยได้ด้วยปัจจัยฤดูกาลของวัสดุก่อสร้าง การปรับขึ้นราคาขาย กำไรสินค้าคงคลัง และมาร์จิ้นของบรรจุภัณฑ์
ความผันผวนของราคาพลังงาน ภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ต้องปรับลดกำไรปกติปี 2565 ลง 11% เป็น 3.4 หมื่นนล้านบาท สะท้อนต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น เมื่อพิจารณาทางพื้นฐานคงคำแนะนำ”ซื้อ”จากมูลค่าที่อยู่ระดับต่ำมากแล้ว ในระยะกลาง-ยาว หุ้นจะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมีที่เวียดนาม -อินโดนีเซีย และการ Spin off บริษัท SCGC แต่ยังไม่แนะนำให้รีบเข้าไปซื้อตอนนี้ นักลงทุนอาจรอสัญญาณพักตัวของราคาพลังงานสู่ระดับปกติช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ก่อนลงทุน