HoonSmart.com>>โบรกเกอร์เตือนหุ้นไตรมาส 2/65 ผันผวน หาจังหวะให้ดี ในกรอบ 1,550-1,720 จุด จากแรงกดดันนอกประเทศ ทั้งสถานการณ์ยูเครน หวั่นเฟดลดงบดุล วิตกรัสเซียส่อผิดนัดชำระหนี้ก้อนโตเม.ย.นี้ ได้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้น หนุนกลุ่มค้าปลีก, อาหาร, สื่อ, ท่องเที่ยว แนะนำ AOT, JMART, PLANB , MINT, ERW ,SNNP, หุ้นที่ได้ดีบอนด์ยีลด์สูง-ป้องกันเงินเฟ้อได้- ดอกเบี้ยขาขึ้น PTT, PTTGC, แบงก์, หุ้นกำไรโต Q1
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาส 2/65 คาดว่าจะผันผวนในกรอบ 1,620-1,720 จุด แต่จังหวะที่ตลาดถอยก็เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้จากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภค ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยนอกประเทศ ทั้งเรื่องสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน, ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และยังมีโอกาสที่จะลดงบดุล (QT) ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตามในไตรมาส 2/65 ในเรื่องเศรษฐกิจ ดูสัญญาณภาคการท่องเที่ยวจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากที่ภาครัฐฯได้ปลดล็อกมาตรการเรื่องการเข้าประเทศ อีกทั้งจะมีการเปลี่ยนโรคโควิดจากโรคระบาดไปเป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 ก.ค.65 ส่วนสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย และยูเครน เป็นปัจจัยหลักที่จะต้องติดตาม คาดว่าน่าจะจบได้ในไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 หากจบได้จริงก็จะช่วยปลดล็อกเศรษฐกิจถดถอยได้ ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายจะต้องดีขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังมองเป้าหมายดัชนี SET ปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด โดยในไตรมาส 2 หุ้นที่น่าลงทุนเป็นหุ้นที่เชื่อมโยงกับปัจจัยในประเทศ อย่างหุ้นในกลุ่มค้าปลีก, อาหาร, สื่อ, ท่องเที่ยว โดยให้ Top picks คือ หุ้น AOT, JMART, PLANB และ SNNP
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในไตรมาส 2/65 มีทิศทางที่ไม่ค่อยดี มีโอกาสที่จะปรับตัวลง จากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว, รับผลกระทบจากเฟด เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และมีโอกาสที่จะลดงบดุลในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. เพื่อดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ส่วนการเจรจาระหว่างรัสเซีย และยูเครน น่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่สงบลงได้
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในไตรมาส 2/65 เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สูง และป้องกันเงินเฟ้อได้ คือหุ้น PTT, PTTGC และหุ้นในกลุ่มธนาคาร รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเประเทศ มองกลุ่มท่องเที่ยว อย่างหุ้น MINT, ERW เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/65 ใช้จังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้นให้ขายทำกำไรแล้วถือเงินสด ตอนนี้มองตลาดมี upside จำกัด แล้วรอจังหวะย่อค่อยซื้อคืน ซึ่งเป็นช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอาจจะลดงบดุล พร้อมให้แนวรับ 1,620-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,730 จุด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงปลายเม.ย.-ต้นพ.ค.ตลาดฯมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้ของรัสเซียที่มีมากสุดในรอบปี ซึ่งต้องรอดูว่ารัสเซียจะมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ในเดือนเม.ย.นี้หรือไม่ ส่วนในเดือนพ.ค.ก็มักจะมีแรงขาย จากสถิติ 10 ปี จะปรับตัวลง 7 ปี และเดือนพ.ค.จะปรับตัวลงเฉลี่ย 1.3% เมื่อเทียบกับเม.ย. นอกจากนี้เฟดจะมีการประชุมในวันที่ 3-4 พ.ค.คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ทำให้ตลาดผันผวนขึ้น
อย่างไรก็ดี ตลาดฯยังมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/65 ที่คาดว่าจะออกมาดี และคาดหวังฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงไทยยังรับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ยูเครน ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกที่เงินจะไหลเข้าอยู่
ภาพรวมไตรมาส 2/65 คาดว่าตลาดจะแกว่งไซด์เวย์ ในกรอบแนวรับ 1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,750 จุด เลือกลงทุนหุ้นที่มีผลประกอบการงวดไตรมาส 1/65 ออกมาดี และได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงมีปัจจัยเฉพาะตัวหนุน อย่างเช่น TRUE และ DTAC ที่จะควบกิจการกัน โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, ค้าปลีก, เปิดเมืองจากผ่อนคลายมาตรการ และหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ได้รับผลดีจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขึ้น
ตลาดหุ้นวันที่ 1 เม.ย.2565 ดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,700 ได้สำเร็จ ปิดที่ระดับ 1,701.31 จุด เพิ่มขึ้น 6.07 จุด หรือ+0.36% มูลค่าการซื้อขาย 68,941.19 ล้านบาท จากแรงซื้ออย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ 1,875.12 ล้านบาท และสถาบันไทยพลิกมาซื้อ 853.04 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 วันทำการ