HoonSmart.com>> ไทยวา เล็งยอดขายปี 65 แตะ 10,000 ล้านบาท หลังเปิดตัว Bioplastic ภายใต้แบรนด์ “ROSECO” เดือนมีนาคมนี้ ตั้งเป้ากำลังการผลิตเฟสแรกไว้ที่ 3,000 ตันต่อปี คาดช่วยสร้างรายได้เพิ่มอีก 1,000 ล้านบาทใน 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมประเมินภาพรวมธุรกิจสดใสผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ขณะที่ราคาส่งออกยืนสูง เดินหน้าขยายฐานไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารระดับภูมิภาค
นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา (TWPC) ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และผู้นำตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ Bioplastic ซึ่งทำให้บริษัทคาดการณ์ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2565 จะสามารถเติบโตได้ Double digit หรือยอดขายแตะระดับ 10,000 ล้านบาท หลังจากที่ในเดือนมีนาคมนี้บริษัทฯมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ Bioplastic ภายใต้แบรนด์ “ROSECO” ซึ่งเป็นการนำแป้งมันสำปะหลังมาพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และพลาสติกคลุมดินที่ย่อยสลายได้ภายใน 4-6 เดือน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร สอดคล้องกับ core value หลักของไทยวา และตอบสนอง Global Issue ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดการใช้ขยะพลาสติก รวมถึงปัญหาโลกร้อน หรือ Climate Change เพื่อให้มีการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรของห่วงโซ่อุปทานอาหาร ซึ่งบริษัทฯถือเป็นผู้บุกเบิกพลาสติกชีวภาพจากแป้งมันสำปะหลังเชิงพาณิชย์รายแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตเฟสแรกไว้ระดับ 3,000 ตันต่อปี และคาดว่าธุรกิจนี้จะช่วยสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาทในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปีนี้ของกลุ่มบริษัทฯ ประเมินว่า ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เพราะความต้องการผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบต่างๆ ขณะที่ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ตามความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังของตลาดชั้นนำอย่างประเทศจีน ส่วนปริมาณหัวมันสำปะหลังในฤดูการผลิตในปี 2564/65 คาดว่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 33.0 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง
ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถขยายฐานลูกค้าส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกจากจีนและไต้หวันได้ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม กัมพูชา และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ได้ลงทุนในเรื่องการพัฒนาความสามารถของบุคคลากรในสาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป้าหมายของบริษัทฯ คือการก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“บริษัทฯ ยังมุ่งที่จะขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตและการส่งออก รวมถึงการขยายฐานผู้บริโภคให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ผ่านนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงทางอาหารและความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการสร้างคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน”
อนึ่ง บริษัทและบริษัทย่อยรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นมีกำไรสุทธิเท่ากับ 323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 285 ล้านบาท คิดเป็น 744% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 38 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คณะกรรมการบริษัท จึงได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล สำหรับงวดปี 2564 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.2159 บาท จำนวน 880.42 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 190.08 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ซึ่งจะเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติต่อไป