โลกทิ้งหุ้นหนีสงคราม ซื้อทองคำ ไทยเจอ’Block Trade-ฟอสเซล’ซ้ำ

HoonSmart.com>>หุ้นไทยร่วงแรง 2.69% เกาะกลุ่มตลาดเอเชีย ดีกว่ายุโรปหลายแห่งดิ่งเกิน 3% เงินไหลออกไปลงทุนทองคำ ดันราคาทะลุ 2,000 เหรียญ หวั่นสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ บานปลาย ราคาน้ำมันทะยานขึ้นเหนือ 120 เหรียญ กดดันเงินเฟ้อเร่งขึ้น วิตกราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นกระทบต้นทุน ไทยเจอ Block Trade ซ้ำเติม หุ้นบางตัวอาจโดนฟอสเซล ลุ้นเทคนิเคิลรีบาวด์ FETCO ยืนเป้าปีนี้ 1,800 จุด บล.บัวหลวงคาด 1,793   จุด

วันที่ 7 มี.ค.2565 เป็นอีกวันหนึ่งที่ตลาดหุ้นโลกดิ่งลงแรง ฉุดตลาดหุ้นไทยต่ำสุดแตะ 1,616.08 จุด ก่อนรีบาวด์ ปิดที่ระดับ 1,626.70 จุด ลดลง 45.02 จุด หรือ -2.69% มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 127,806.20 ล้านบาท ฝีมือสถาบันไทยเทกระจาด 6,583.65 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขาย  2,881.04 ล้านบาท ต่างประเทศขาย 2,293.61 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อเจ้าเดียว 11,758.30 ล้านบาท  ทั้งนี้ หุ้น PTTEP เพิ่มขึ้น 3 บาท มีผลต่อดัชนีเพิ่มขึ้น 1 จุด เทียบไม่ได้กับการปรับตัวลงของ  GULF มีผลต่อดัชนี-3.22 จุด DELTA -1.89 จุด AOT-1.81% และ SCB -1.72 จุด

ด้านค่าเงินบาทอ่อนลงปิดที่ 35.97 บาท/ดอลลาร์  ราคาทองคำในประเทศปรับราคาวันเดียว 10 ครั้ง รวมเพิ่มขึ้น 650 บาท ทองแท่งรับซื้อ 30,800 บาท ขายออก 30,900 บาท หลังจากสัญญาทองคำล่วงหน้าปรับตัวขึ้นทะลุ 2,000 เหรียญ/ออนซ์ ด้าน YLG มองโอกาสขึ้นแตะ 31,000 บาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า  หุ้นไทยร่วงแรงเช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเฉลี่ย 2.8%, ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ร่วง 3% และดาวโจนส์ฟิวเจอร์ติดลบ 1.5% จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย และยูเครนดูเหมือนจะยืดเยื้อ และอาจจะบานปลายได้ ส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งขึ้นได้อีก ซึ่งไทยก็มีการใช้พลังงานมาก ต้นทุนอุตสาหกรรมและกลุ่มเกษตรก็รับผลกระทบกันทั่วหน้า จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่สูงขึ้นกว่าที่ประเมิน ทำให้ตลาดฯปรับตัวลงมาก จนหลุด Low เดิมที่ 1,656 จุด ตั้งแต่เปิดตลาด

ขณะนี้ต้องรอดูว่า 1,620 จุด ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันจะรับอยู่ได้หรือไม่ ถ้ายืนได้ก็มีจังหวะของการฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดี  ตลาดฯปรับตัวลงมาก ส่วนหนึ่งอาจรับผลจาก Block Trade และคงจะเผชิญแรงขายจากการถูกบังคับขาย (ฟอสเซล) ด้วย เนื่องจากตลาดฯได้ปรับตัวลงแรง

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 8 มี.ค.2565 ยังมีโอกาสรีบาวด์ได้หลังจากที่ปรับตัวลงลึก พร้อมให้แนวรับ 1,615-1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผย ยังคงเป้าดัชนีหุ้นปีนี้ไว้ที่ 1,800 จุด  หากราคาพลังงานไม่ปรับขึ้นสูงเกินไป คาดว่าสงครามครั้งนี้จะมีผลกระทบในระยะสั้น โดยสถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับนานาชาติได้รวบรวมสถิติไว้ ในรอบ 80 ปี มีสงครามเกิดขึ้น 30 ครั้ง ค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นมักตกเร็วและแรง แต่ก็ฟื้นตัวเร็วเช่นกัน เฉลี่ยใช้เวลา 3 สัปดาห์จากวันเกิดเหตุการณ์และไปสู่จุดต่ำสุด หุ้นจะปรับลดลงประมาณ 6-8% และจะกลับเข้าสู่ระดับเดิมภายในเวลา 3 สัปดาห์เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับผลกระทบกับเศรษฐกิจที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ถ้าน้อยกว่า 12 เดือนให้หลัง ก็จะทำให้หุ้นก็จะปรับตัวขึ้นเกินกว่าระดับเดิม แต่หากเศรษฐกิจแย่หุ้นก็จะตก

สถานการณ์รอบนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงไปสู่จุดต่ำสุดประมาณสัปดาห์ก่อนราว 8% ใกล้เคียงกับสถิติในอดีต ปัจจัยเสี่ยงคือ การส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปหรือไม่ ซึ่งถือเป็นกระเป๋าเงินใหญ่สุดของรัสเซีย แต่เชื่อว่าการจะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมได้นั้น สหรัฐและชาติพันธมิตรจะต้องมีการหารือกับทางโอเปกก่อน จึงยังไม่น่าจะดำเนินการได้เร็ว

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 113.03 เพิ่มขึ้น 20.4% ผลสำรวจ ณ เดือนก.พ. 2565 นักลงทุนบุคคลปรับลด 25.6% อยู่ที่ระดับ 90.53 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เพิ่ม 18.7% อยู่ที่ระดับ 128.57 กลุ่ม สถาบันในประเทศปรับลด 24.4% อยู่ที่ระดับ 94.44 และ นักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 185.7% มาอยู่ที่ระดับ 142.86 แนะนำหุ้นกลุ่มแบงก์ ตามด้วยค้าปลีกและพลังงาน

บล.บัวหลวง ให้เป้าหุ้นปีนี้ที่ 1,793 อิง PER 18.3 เท่า และกำไรต่อหุ้นตลาดที่ 98 บาท แม้ว่าในเดือน ก.พ. ตลาดมีการปรับลดประมาณการกำไรมากกว่าปรับเพิ่มเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยระมัดระวังปัจจัยต่างๆ มากขึ้น แต่หากผ่านช่วงนีไปได้จะกลับมาโฟกัสมองธุรกิจภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวก็จะเป็น upside กับตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนแนวโน้มกำไรบจ.ในไตรมาส1/2565 คาดจะเพิ่มขึ้น 24%เทียบกับปีก่อน และเติบโต 4% จากไตรมาส 4/2564 นำโดยกลุ่มโรงพยาบาล, เดินเรือ, สื่อ (รายได้ฟื้น), พลังงาน (ราคาน้ำมัน-ค่าการกลั่นเพิ่ม), รับเหมาฯ (รายได้ -มาร์จิ้นเพิ่ม) และอิเล็กทรอนิกส์(รายได้เพิ่ม-บาทอ่อน)