ต่างชาติดันหุ้นทะลุ 1,700 จุด จับตา “สถาบัน” ไล่ซื้อ กลัวตกรถ

HoonSmart.com>> หุ้นเอเชีย-ยุโรปพุ่งแรงเกิน 1% ไทยแกร่งดัชนีทะลุ 1,700 จุดในรอบ 30 เดือน วอลุ่มแน่นเกิน 1.35 แสนล้าน ฟันด์โฟลด์เข้ามากขึ้นถึง 17,416.41 ล้านบาท ตราสารหนี้อีก 16,332 ล้านบาท กระโจนเข้าแบงก์ ราคาเทรดต่ำบุ๊ก คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง กนง. คงตามคาด 0.50% บอนด์ยีลด์วิ่งใกล้ 2% อิเล็กทรอกนิกส์ถูกเทกระจาด ผิดหวังกำไร KCE เสี่ยงถูกหั่นเป้าปี 65-66 โรงงานอยุธยาและโรจนะเพิ่มกำลังผลิตช้ากว่าคาด

วันที่ 9 ก.พ.2565 หุ้นต่างประเทศหลายแห่งเฮโลขึ้นแรงกว่า1% ก่อนสหรัฐเปิดตัวเลขเงินเฟ้อ เอเชียนำโดยฮ่องกงพุ่งขึ้นเกิน 2% ส่วนไทยบวก 1.12% ดัชนีตีขึ้นเหนือ 1,700 จุดแข็งแกร่ง ปิดที่ 1,703.16 จุด เพิ่มขึ้น 18.93 จุด ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายหนาแน่น 135,624.66 ล้านบาท จุดพลุโดยแรงซื้อต่างชาติ 17,416.41 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยขายสุทธิ 13,524.21 ล้านบาท และสถาบันไทยขาย  4,299.54 ล้านบาท นอกจากนี้ต่างชาติยังเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อ 16,332 ล้านบาท

รอบนี้ ต่างชาติเข้ามาจริงจัง สัดส่วนซื้อเกินครึ่ง 51.91% ขายออกเพียง 39% หนุนทั้งเดือนก.พ.(1-9) ซื้อสุทธิ 29,379.42 ล้านบาท และนับตั้งแต่ต้นปีเก็บแล้ว  43,738.77 ล้านบาท  เข้าซื้อหุ้นใหญ่ เน้นกลุ่มธนาคาร  ดัชนีขึ้นแรง 3.70% โดย BBL-KBANK-SCB มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 2 หมื่นล้านบาท กลุ่มปิโตรเคมี+2.18% ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอกนิส์ถูกทิ้งหนัก -3.65%

ต่างชาติลุยซื้อกลุ่มธนาคาร เพราะขายออกไปมาก แถมราคายังถูก แบงก์เกือบทั้งหมดซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ยกเว้น SCB เทรดกว่า 1 เท่า แนวโน้มกำไรจะเติบโตดีจากการขยายสินเชื่อตามเศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นหนุน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) 10 ปี เร่งขึ้นเหนือ  1.95 %ที่สำคัญการตั้งสำรองจะลดลงจากที่ผ่านมาสำรองไปมากแล้ว และที่ประชุมกนง.มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ตามตลาดคาด  นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อหุ้น ค้าปลีกและกลุ่มได้ดีจากการเปิดประเทศ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า  หุ้นปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,700 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันหมดเฉลี่ย 1% โดยได้รับแรงหนุนจากฟันด์โฟลด์ไหลเข้าเรื่อย ๆ ในหุ้นบิ๊กแคป ได้แรงส่งดีจากหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่ขึ้นนำตลาดฯได้ค่อนข้างดี ตอบรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และได้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกช่วยหนุนด้วย อย่างหุ้น CRC รวมถึงหุ้น AOT ปรับขึ้นมาช่วยหนุนตลาด

“เม็ดเงินต่างชาติถ้ายังเข้ามาซื้อในช่วงสั้นอยู่ อาจทำให้นักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อหุ้นได้ เพราะกลัวตกรถ”

ส่วนแนวโน้มตลาดวันที่ 10 ก.พ. คงจะแกว่งตัวออกด้านข้างในช่วงรอดูตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันที่ 10 ก.พ.นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,685 จุด แนวต้าน 1,710 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลงทั่วหน้า นำโดยหุ้น KCE ที่ร่วงแรง หลังผลประกอบการงวดไตรมาส 4/64 ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร และกำลังผลิตยังปรับจูนกับเครื่องจักรอยู่ทำให้อาจมีผลต่อผลงานไตรมาส 1/65 ด้วย ทำให้วิตกหุ้นตัวอื่นในกลุ่มฯจะไม่ดีด้วย

“หุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เล่นกันอยู่ในโซน P/E สูง   เมื่อกำไรไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ก็ทำให้อาจจะต้องมีการปรับลด P/E ลง ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการกำไรลงทั้งกลุ่ม เพราะเล่นด้วย Valuation ที่สูง แต่ดีมานต์ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่แย่มาก เพราะเป็นเมกะเทรนด์”

บล.โนมูระ พัฒนสิน มีความกังวลว่าการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี และหุ้นอิเล็กทรอนิกส์อาจลดความร้อนแรงลง เนื่องจากมีความเสี่ยงราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลต่อกำลังซื้อของสินค้ากลุ่มนี้

อย่างไรก็ดี ยังแนะนำ”ซื้อเก็งกำไร”หุ้น KCE ราคาเป้าหมาย 97 บาท มีมุมมองเป็นกลางต่อ KCE ที่กำไรสุทธิ 701 ล้านบาท ในไตรมาส 4/64 +84%จากช่วงเดียวกันปีก่อน +16%เทียบไตรมาสที่ 3 (ตามคาด) โดยมียอดขาย และ GPMเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตและคำสั่งซื้อเติบโต รวมทั้งค่าเงินบาทอ่อนตัว ส่วนไตรมาส 1/2565 คาดกำไรสุทธิโต ตามคำสั่งซื้อที่มีต่อเนื่อง แต่กำไรสุทธิจะลดจากไตรมาส 4/2564  ตามฤดูกาลที่มีวันหยุดทำให้การส่งออกน้อยลง

ทั้งนี้ ธีมอุตฯรถอีวียังโตได้อีกหลายปี โดยตั้งแต่ปี 2578 อียูจะเลิกผลิตรถเครื่องยนต์สันดาบ และตามด้วยประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐและจีน ทำให้แนวโน้มการขยายตัวของรถอีวียังมีต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันการประชุมนักวิเคราะห์ มองลบ KCE ประสบปัญหาทางเทคนิคกับเครื่องใหม่ที่ติดตั้งตั้งแต่พ.ย. 2564 เครื่องใช้งานไม่ได้ บริษัทพยายามแก้ไขปัญหา ปัญหา ทำให้การเริ่มต้นกำลังการผลิตในอนาคตที่อยุธยาและโรจนะล่าช้าไปด้วย เนื่องจากทีมงานกำลังเน้นที่โรงงานลาดกระบัง กระทบการเติบโตของรายได้ล่าช้าไป 1-2 ไตรมาส ในขณะที่ GPM มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องจากอัตราการใช้ประโยชน์ที่ลดลงและอัตราเศษเหล็กที่สูงขึ้น  คาดการณ์ความเสี่ยงด้านลบต่อประมาณการกำไรปี 2565-2566