“มาดามเดียร์” โพสต์ ภาษีหุ้น-ภาษีคริปโต ช่วยประเทศหรือไล่นักลงทุน

HoonSmart.com>>”มาดามเดียร์” หรือ วทันยา วงษ์โอภาสี สส.โพสต์เฟสบุ๊ค ตั้งคำถาม เก็บภาษีหุ้น-ภาษีคริปโต ช่วยประเทศ หรือผลักนักลงทุน ออกนอกประเทศ 

เพียงแค่กรมสรรพากรเปรยถึงแผนการจัดเก็บภาษีจากคริปโตเคอร์เรนซี และเงินรายได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ก็ทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อยรายใหญ่ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และดิจิทัลเคอร์เรนซี เกิดความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หากกรมสรรพากร ดำเนินการเก็บภาษีจริงตามที่ปรากฏในข่าว สร้างเสียงความไม่พอใจ ความกังวลถึงวิธิปฏิบัติจริงที่ดูจะเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการเก็บภาษีคริปโตฯ ในอัตรา 15% โดยผู้ลงทุนต้องเป็นผู้แจ้งการเสียภาษีต่อกรมสรรพากรเอง เหมือนเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบและความเสี่ยงให้ประชาชนว่า ถ้าหากรายงานการเสียภาษีผิดพลาด ในอนาคต จะต้องเผชิญความเสี่ยงค่าปรับภาษีย้อนหลังหรือไม่ ?

นอกจากนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า การเงินยุคดิจิทัลเคอร์เรนซีนั้น คือ “โลกการเงินที่ไร้พรมแดน” การออกกฎหมายดังกล่าวของกรมสรรพากร ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วเป็นการสร้างโอกาสในการเก็บรายได้เข้าแผ่นดิน หรือเป็นการตัดโอกาสของรัฐและบริษัทแพลตฟอร์มที่เป็นสัญชาติไทย โดยการไล่ให้ผู้ลงทุนไปลงทุนผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทต่างชาติแทน

การเก็บภาษีเป็นธรรมหรือไม่?

การเก็บภาษีคริปโตฯจากกำไรก็สร้างคำถามถึงความ “เป็นธรรม” ในการชำระภาษี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง” นั่นหมายถึงว่า นักลงทุนทุกคนรู้ดีว่าการลงทุนนั้นมีโอกาสที่ได้ทั้งกำไรและขาดทุน

การเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายในแต่ละครั้งที่ได้กำไร ฟังเพียงผิวเผินเหมือนรัฐให้ความเป็นธรรมกับผู้ลงทุน แต่หากพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าการซื้อ-ขาย ของผู้ลงทุนนั้น มีธุรกรรมที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้ว หากนำทุกธุรกรรมมารวมกัน ผลลัพธ์จากการลงทุนในคริปโตฯ อาจเป็นผลขาดทุน

ในขณะที่ระหว่างทาง กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากผู้ลงทุนไปแล้วเรียบร้อย อย่างไรก็ดีสิ่งที่ซ้ำร้ายในด้านความ “เป็นธรรม” มากยิ่งกว่าการเก็บภาษีคริปโตฯก็คือ การเก็บภาษีหุ้นจากทุกธุรกรรมที่มีการขายโดยไม่สนใจว่า ธุรกรรมนั้นจะเป็นผลกำไรหรือขาดทุน

แน่นอนว่า เจตนารมณ์ของการจัดเก็บภาษีภาครัฐ ก็คือ การจัดเก็บภาษีจากประชาชนผู้มีรายได้ และในอดีตที่ผ่านมา ประชาชนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ด้วยเหตุผลเพื่อต้องการสนับสนุนให้ตลาดลงทุนไทยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ในวันที่รัฐต้องการเปลี่ยนนโยบาย สิ่งหนึ่งที่รัฐต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็คือ เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดคริปโตเคอร์เรนซีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินออมของประชาชนที่เคยผ่านการเสียภาษีมาแล้วครั้งหนึ่ง หากประชาชนที่นำเงินออมมาลงทุนแล้วได้กำไร หรือได้รายได้เพิ่ม การจัดเก็บภาษีเงินกำไร (Capital Gain Tax) ก็ย่อมเป็นที่ยอมรับได้

แต่แนวนโยบายที่จะเก็บภาษีจากมูลค่าการขายหุ้นเลย โดยที่ไม่สนใจว่าเป็นรายได้ส่วนเพิ่มหรือไม่ และการเก็บภาษีกำไรจากทุกธุรกรรมในการลงทุนคริปโตฯ โดยไม่สนใจผลลัพธ์สุดท้ายของผู้ลงทุน ก็ทำให้เกิดคำถามถึงความ “เป็นธรรม” ของรัฐ ในการกำหนดนโยบาย

ผลกระทบที่สรรพากรต้องไม่มองข้าม

ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลังหนึ่งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย นับเป็น “ทางออกสำคัญ” ให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศในการพึ่งพาตนเอง

นอกจากผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์ที่มีข้อจำกัดมากมาย เพื่อนำเงินที่ได้ไปหมุนเวียนกิจการประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ สิ่งที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าก็คือ ตัวเลขการระดมทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือน ธ.ค. 64 ที่มียอดสูงเป็นประวัติกาลกว่า 50,000 ล้านบาท ภายในเดือนเดียว ดังนั้นสิ่งที่กรมสรรพากรต้องคำนึงถึงรายละเอียด และวางแผนให้รอบคอบก่อนดำเนินนโยบายก็คือ ผล กระทบที่จะตกถึงโครงสร้างใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต

โครงสร้างวอลลุ่มการซื้อ-ขายหุ้นในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ก็คือ 1) นักลงทุนสถาบันเป็นสัดส่วน 20% 2) นักลงทุนต่างชาติคิดเป็นสัดส่วน 40% 3) นักลงทุนไทย 40% โดยแบ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ 60% และนักลงทุนรายย่อย 40%

สิ่งที่จะตามมากระทบหากกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีหุ้น จากทุกคำสั่งขายจริงก็คือ สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 40% ของตลาดหลักทรัพย์ จะลดจำนวนลงในทันที นั่นยังไม่นับถึงนักลงทุนไทยรายใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักที่ช่วย Contribute ยอดวอลลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบัน เพราะทั้ง 2 กลุ่มนี้   จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงในทันทีหากกฎหมายบังคับใช้

เมื่อมูลค่าการซื้อ-ขายของตลาดหลักทรพย์ไทยลดน้อยลง นั่นหมายถึงสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์จะหายไป ดังนั้น สิ่งที่จะกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาโดยยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ก็คือ การเทขายหุ้นของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันต่างชาติ เพราะสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย ไม่สามารถตอบโจทย์การลงทุนได้อีกต่อไป นั่นหมายถึง มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดทุนไทยจะหดตัวลงในทันที

สิ่งที่รัฐควรทำ

ในวันที่การจัดเก็บรายได้รัฐไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย ย่อมเป็นแรงกดดันให้กระทรวงการคลังต้องเร่งหารายได้อื่นเพื่อมาชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป การเก็บภาษีจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และดิจิทัลเคอร์เรนซี ที่ถือเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงในประเทศ จึงเป็นกลุ่มที่รัฐคำนึงถึงเป็นรายแรก ๆ ในการจัดเก็บภาษี

ซึ่งเชื่อว่าหากกรมสรรพากรออกมาตรการการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรมต่อผู้ลงทุน โดยการเก็บจากรายได้เพิ่มที่นักลงทุนทำกำไรได้ พร้อมมีรายละเอียดที่ชัดเจนไม่ผลักภาระความรับผิดชอบให้ประชาชนต้องไปเผชิญความเสี่ยงในอนาคต ก็คงเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถยอมรับได้

ดังนั้นสิ่งที่รัฐควรพึงกระทำก่อนออกเป็นข้อกฎหมายที่นำมาใช้ปฏิบัติจริงก็คือ “การรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ให้ครบถ้วน ไม่ใช่การรับฟังแต่ผู้บังคับใช้กฎหมาย (Regulator) เพราะจะทำให้ขาดข้อมูลในการพิจารณาให้ครบถ้วนและรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคำนึงถึงผลกระทบของภาพรวมการลงทุนที่หากพิจารณาไม่รอบคอบแล้ว ก็ไม่ต่างกับการที่ “รัฐผลักเงินลงทุนคนไทยออกไปให้ต่างประเทศ พร้อมสูญเสียเงินและโอกาสจากเงินลงทุนของต่างชาติในคราวเดียวกัน”

ในวันที่ประชาชนเดือดร้อน พยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด เพราะเครื่องมือช่วยเหลือจากมาตรการของภาครัฐนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ก็นับว่ายากลำบากเต็มทีแล้ว ตลาดลงทุนจึงเป็นทางออกสำคัญให้ประชาชนตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงรายใหญ่เพื่อระดมทุนไปประคับประคองธุรกิจ หรือเพื่อรักษามูลค่าเงินออมให้ทันกับราคาสินค้าอาหารที่แพงขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นบทบาทของรัฐในการเป็นผู้สนับสนุน (Facilitator) จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องใช้ให้ถูกที่และถูกเวลา เพราะหากเมื่อเดินหน้าไปแล้วก็ยากที่จะกลับมาแก้ไขผลพวงที่เกิดขึ้น