ดาวโจนส์ปิดร่วง 375 จุด GDP ต่ำกว่าคาด เงินเฟ้อสูง วิตกเฟดลดดอกเบี้ยแค่ครั้งเดียวปีนี้

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐ 3 ดัชนีหลักปิดร่วง ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 375 จุด หลังรายงาน GDP ไตรมาส 1/67 ต่ำกว่าคาด ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯชี้การเติบโตชะลอตัวลงมากและบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่ลดลง ตลาดกลับมากังวลการขยายตัวของเศรษฐกิจ วิตกเฟดลดดอกเบี้ยแค่รั้งเดียวในปีนี้ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ WTI” เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป”ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 25เมษายน 2567 ปิดที่ 38,085.80 จุด ลดลง 375.12 จุด หรือ -0.98% แต่ฟื้นตัวจากที่ร่วงลงไปถึง 500 จุด ระหว่างชั่วโมงซื้อขาย หลังการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการเติบโตชะลอตัวลงอย่างมากและบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่ลดลง ทำให้กลับมากังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,048.42 จุด ลดลง 23.21 จุด, -0.46%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,611.76 จุด ลดลง 100.99 จุด, -0.64%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1 ปี 2024 ครั้งที่ 1 ว่า ขยายตัว 1.6% ต่ำกว่า 2.4% ที่นักวิเคราะห์คาด
ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอลง

ในปี 2023 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.2%, 2.1%, 4.9% และ 3.4% ในไตรมาส 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในไตรมาส 1 ปี 2024 เพิ่มขึ้น 3.4% จาก 1.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.7% สูงกว่า 2.0% ในไตรมาส 4 ปี 2023

ข้อมูลทั้งสองชุดทำให้กังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วตามที่คาดไว้ เนื่องจากเมื่อนำทั้งสองข้อมูลมาวิเคราะห์รวมกัน ก็บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา จากการการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ที่อาจเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบายในการดำเนินนโยบายในระะยะข้างหน้า

หลังจากการรายงานข้อมูล GDP เทรดเดอร์ได้ปรับลดความคาดหวังลงสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดลง โดยFedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ในปีนี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของปี 2024 และเคลื่อนไหวใกล้ 4.7%

ขณะเดียวกันตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของการเติบโตของรายได้จากกลุ่มเทคโนโลยี หลังการคาดการณ์ยอดขายในไตรมาส 2 ปี 2024 ไม่สดใสของบริษัท เมตา แพลตฟอร์มส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ราคาหุ้นลดลง 10.5%

การรายงานผลประกอบการของเมตาสร้างความวิตกต่อนักลงทุนก่อนการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเทคโนโลยี โดย ไมโครซอฟต์ อัลฟาเบท อินเทล จะรายงานผลประกอบการหลังจากปิดตลาดวันนี้

หุ้นไอบีเอ็มลดลงกว่า 9% หุ้นแคทเธอพิลลาร์ลดลงกว่า 7% ทั้งสองบริษัทรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นที่รายงานเมื่อวานนี้ ได้แก่ ผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วจากกระทรวงแรงงานที่ลดลง 5,000 ราย มาที่ 207,000 ราย และต่ำกว่า 214,000 ราย ที่ของนักวิเคราะห์คาด

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ(NAR) รายงาน ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales)เดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่า 0.4% ที่นักวิเคราะห์คาด

นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยดัชนีPCE เดือนมีนาคมซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบจากผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทผู้บริโภคยักษ์ใหญ่อย่าง Nestle และบริษัทชำระเงินดิจิทัลของเนเธอร์แลนด์ Adyen ในขณะที่ความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบ หลังการรายงานข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงจากสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ดัชนี STOXX 600 ร่วงลงมากถึง 1.3% ระหว่างวัน

กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมลดลง 1.8% ซึ่งส่งผลให้กลุ่มอื่นปรับตัวลง จากการร่วงลง 18.4% ของหุ้น Adyen หลังจากยอดขายในไตรมาสแรกต่ำกว่าที่คาด และความกังวลของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

หุ้น Nestle ลดลง 2% หลังจากยอดขายในไตรมาสแรกต่ำกว่าที่ประมาณการการส่งผลให้กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลง 1.1%

กลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1% ตามการร่วงลงของกลุ่มเดียวกันในตลาดสหรัฐฯ หลังจาก เมตาแพลตฟอร์มสส่งสัญญาณว่าการลงทุนที่มีต้นทุนสูงใน AI อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะคุ้มทุน

ความเชื่อมั่นยังถูกซ้ำเติมจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบเกือบสองปี ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ทำให้คาดการณ์มากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเดือนกันยายน

หุ้น Hermes ลดลง 2.4% เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไร แม้บริษัทรายงานยอดขายในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 17% ส่วนหุ้น LVMH และ Richemont ก็ลดลง 2.8% และ 1.2% ตามลำดับ ส่งผลให้กลุ่มสินค้าหรูลดลง 1.7%

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 502.38 จุด ลดลง 3.23 จุด, -0.64%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,078.86 จุด เพิ่มขึ้น 38.48 จุด, +0.48%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,016.65 จุด ลดลง 75.21 จุด, -0.93%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิด 17,917.28 จุด ลดลง 171.42 จุด, -0.95%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน. เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.92% ปิดที่ 83.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.12% ปิดที่ 89.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล