HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์บวก 216 จุด สวนทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนพ.ย.พุ่ง 6.8% สูงสุดในรอบ 39 ปี บล.เมย์เแบงก์แนะจังหวะซื้อหุ้นหลังประชุมเฟด 16 ธ.ค.เน้นแบงก์-การบริโภค-ไอซีที ชู KBANK, TTB, DOHOME, SNNP, DTAC, ADVANC บล.เอเซียพลัสมองดอกเบี้ยขาขึ้นต้องเก็บ BLA, KBANK, BBL, SCB ธีมเปิดเมือง AOT, BH บล.ทิสโก้เพิ่มกำไร-ราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ AP, SPALI, LH เด่นสุดในกลุ่ม
ดัชนีดาวโจนส์ วันที่ 10 ธ.ค.2564 ปิดที่ 35,970.99 จุด เพิ่มขึ้น 216.30 จุด หรือ 0.60% หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)ทั่วไป เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 6.8% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 1982 สูงกว่า 6.7% ที่นักวิเคราะห์คาด และเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 39 ปี
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยง จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการส่งสัญญาณการเร่งลดวงเงินพันธบัตร หรือคิวอี และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยจะทราบผลของการประชุมในช่วงเช้าของวันที่ 16 ธ.ค.นี้
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้น แนะนำว่าควรรอช่วงตลาดพักตัว หลังเฟดรายงานผลการประชุมเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ ส่วนใครที่มีหุ้น Domestic Play ในสัดส่วนที่น้อย แนะนำเพิ่มการลงทุน เชื่อว่าระยะยาวผลตอบแทนจะดีกว่า Global Play ถ้าตลาด Panic Sell หุ้นในกลุ่ม Global Play จะปรับตัวลดลงก่อน
นายวิจิตรแนะนำให้ซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ กลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ KBANK และTTB กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศฟื้นตัว แนะนำ DOHOME และ SNNP หุ้นกลุ่ม ICT แนะนำ DTAC และADVANC และหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโต แนะนำ JMART, JMT และASK
ด้านนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า เฟดส่งสัญญาณการเพิ่มวงเงินลดคิวอีและการปรับขึ้นดอกเบี้ยไว้อย่างชัดเจน ประกอบกับช่วงปลายปีนี้ โดยปกติแล้วหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวไม่หวือหวา และปริมาณการซื้อขายต่อวันน้อยลง เนื่องจากมีวันหยุดค่อนข้างมาก ดังนั้นเมื่อเฟดประกาศผลประชุมออกมา คาดว่าตลาดจะปรับฐานลงมา เป็นโอกาสเข้าซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลางถึงยาว
สำหรับหุ้นแนะนำเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ได้แก่ BLA,KBANK, BBL และSCB กลุ่มที่สองที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ได้แก่ AOT และ BH
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าตลาดเริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับการดำเนินนโยบายของเฟด อาจพิจารณาลดวงเงินคิวอีเร็วกว่าเดิม ซึ่งตลาดคาดเพิ่มเป็นเดือนละ 3 หมื่นล้านเหรียญ จากเดิมเดือนละ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้มาตรการคิวอีจะสิ้นสุดเดือน มี.ค. 2565 จากเดิมสิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2564 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนประเด็นโควิดแม้จะยังมีผลเชิงจิตวิทยาต่อตลาด แต่คาดยังไม่เห็นการเปิด Downside ในการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไร บจ. ในปี 2564-2565 ตลาดคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโต 1% และ 4% ในปีหน้า บล.เอเซียพลัส คาดกำไรบจ.ปี 2565 อยู่ที่ 9.4 ล้านล้านบาท กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 81.8 บาท/หุ้น เติบโต 11%จากปีนี้
บล.ทิสโก้ ระยะสั้นแนะ Wait&See พอร์ตลงทุนเป็นจังหวะดีทยอยรับตราบใดที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังปิดเหนือ 1,620 จุด ไม่ได้ ภาพระยะสั้นยังอยู่ในเชิงลบ รีบาวด์เน้นขายกระชับพอร์ต / พอร์ตลงทุนมองความผันผวนเป็นจังหวะดีในการทยอยสะสมแบบไม่รีบร้อน-เน้นตั้งรับที่โซน 1,550-1,560 (ปิด GAP) และ 1,520 จุด
ขณะเดียวกันบล.ทิสโก้มีการปรับประมาณการกำไรและปรับเป้าพื้นฐานหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ้นปี 2565 แนะนำ “ซื้อ ” หุ้น AP ราคาเป้าหมาย 10 บาท SPALI มูลค่า 22.9 บาท และ LH ราคา 9.3 บาท เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ ส่วน PSH มูลค่า 12 บาท SIRI ราคา 1.2 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจากขาย” เป็น “ถือ” และแนะนำขาย LPN ให้มูลค่า 3.9 บาท