OTO ลุย Social Bureau รองรับแผนออกเหรียญคริปโต ฯ

HoonSmart.com>>OTO ยานแม่ออก ลุยโปรเจค  Social Bureau รองรับแผนออกเหรียญ คริปโตฯ

คณาวุฒิ วรรทนธีรัช

ภาพของบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์  (OTO) เริ่มชัดเจนขึ้น หลังกลุ่มทุนใหม่เข้ามา “ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ” จากผู้ให้บริการ Call Center และ Contact Center มุ่งสู่ Tech  และ Digital เพื่อสร้าง New S Curve หลังจากในช่วงที่ผ่านมา รายได้และกำไร ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการแข่งขันธุรกิจ และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

กลุ่มทุนใหม่ที่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ แทนกลุ่ม SAMART ตั้งแต่ปลายปี 2563 มองเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ Call Center และ Contact Center ที่มีความแข็งแกร่ง โดยการใช้ฐาน Big Data มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เชื่อมโยงเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อนำเสนอโปรดักส์ใหม่ ให้กับลูกค้า คาดชัดเจนในปี 2565

ทรานฟอร์ม ธุรกิจ 9 เดือนแรก พลิกมีกำไร

หลังกลุ่มทุนใหม่เข้ามาถือหุ้น แม้รายได้จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2563 จากผลกระทบโควิด-19 แต่ในแง่ของตัวเลขบรรทัดสุดท้าย ส่งสัญญาณ “เทิร์นอะราวด์” ชัดเจน

จากงบ 9 เดือนแรกของปี 2564 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิสูงถึง 56.65 ล้านบาท เทียบกับปี 2563 ทั้งปีขาดทุนสุทธิ 48.85 ล้านบาท และสูงกว่าปี 2560-2562 ที่มีกำไรสุทธิ 50.45 ล้านบาท 20.61   ล้านบาท และ 33.01 ล้านบาท ตามลำดับ

ลุยโปรเจค Social Bureau รับแผนออกเหรียญคริปโตฯ

ล่าสุด  26 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา  OTO ได้ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยการเซ็น MOU กับ “บล็อกเชน ไพรม์ โฮลดิ้ง” เพื่อเข้าร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 20% จากทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มุ่งสู่การเป็นบริษัทที่ปรึกษาและพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockchain Solutions และนวัตกรรมพลิกโลกชั้นนำของเมืองไทย

นำร่องในโครงการแรกด้วยโปรเจค Social Bureau ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรายงานและตรวจสอบประวัติอาชญากรรมบนบล็อกเชนแห่งแรกของโลก  ปูทางสร้างคริปโตเคอเรนซี่ของตัวเองภายใต้ความร่วมมือของบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของเมืองไทยมากมาย เช่น บริษัท อีนิกเซอร์ จำกัด บริษัท อีรูไดท์ บริการวิศวกรรม จำกัด และบริษัท อะควาริโอ จำกัด

“การสยายปีกการลงทุนของ OTO ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการเดินหน้าพัฒนาเข้าสู่ธุรกิจ ด้านบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซีอย่างเต็มตัว สอดรับเมกะเทรนด์”  คณาวุฒิ วรรทนธีรัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OTO กล่าว

พ.ต.อ.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์

ขณะที่ พ.ต.อ.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บล็อกเชน ไพรม์ โฮลดิ้ง  กล่าวว่า แพลตฟอร์ม Social Bureau ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการด้านกระบวนการยุติธรรมแบบครบวงจร ด้วยการเป็นช่องทางให้ผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งข้อมูลอาชญากรรม โดยผู้แจ้งจะได้รับค่าตอบแทนเป็น คริปโตเคอเรนซี่ ในระบบนิเวศน์ของ Social Bureau ตอบแทน

ข้อมูลที่รายงานเข้ามา จะได้รับการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องและจัดลำดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยชุมชนผู้ใช้งาน ด้วยกระบวนการ Proof-of-Stake และข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้รับรายงานจากผู้ใช้งานทั่วโลกจะถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วย AI ที่ชาญฉลาดเพื่อระบุตัวคนร้ายที่แท้จริง ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของคู่ค้าก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมใดๆได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีบริการอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตั้งรางวัลนำสืบหาตัวผู้กระทำผิดหรือหาข้อมูลทางคดี การชดใช้มูลค่าความเสียหาย การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม การหาข้อยุติระหว่างคู่พิพาท และบริการอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม โซเชียลบูโร เป็นโครงการริเริ่มขึ้นในประเทศไทย และในปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.socialbureau.io

สำหรับ  OTO  ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการศูนย์บริการข้อมูล (Outsourced Contact  Center Service) โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 1. บริการบริหารจัดการศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ 2. บริการออกแบบและติดตั้งระบบ Contact Center 3.บริการระบบศูนย์บริการข้อมูลและอุปกรณ์ 4.บริการจัดหาเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ 5.บริการบำรุงรักษา

ก่อนเกิด Covid-19 ลูกค้ากว่า 20% อยู่ในธุรกิจสายการบิน ดังนั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯจึงได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ Covid-19 รายได้ลดลง 18% ในปี 2563

คาดกำไรปกติปี 65 ฟื้นตัว จับตา S-Curve ใหม่

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี   มองว่า แนวโน้มผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวในปี  2565  เนื่องจาก 1. บริษัทได้รับงานจาก รฟท.มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทสัญญา 3 ปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี2565

2.กลุ่มลูกค้าสายการบินมีโอกาสกลับมาใช้บริการในปีหน้า  3.โอกาสรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจป้ายโฆษณากว่า 50 ป้ายใน Central และ Robinson ส่วนแบ่งกำไร 10% จาก บริษัท ฮินซิซึ ของ Simat และธุรกิจ Customer Experience ในครึ่งแรกของปี 2565

จากการเข้ามาของกลุ่มทุนใหม่เมื่อปลายปี 2563 บริษัทฯเริ่มเข้าสู่กระบวนการ Transformation โดยวาง Position ตัวเองเป็น Platform Company มีแผนใช้ Ai, Big data ต่อยอดธุรกิจ สร้าง Ecosystem เข้าสู่ธุรกิจ Customer experience โดยทำ value-added ธุรกิจ Call center เดิม

เช่น การให้บริการ Detect complaint จาก social media เช่น Facebook, Pantip แล้วส่งทีม Call center เข้าแก้ไขปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเป็น Viral การใช้ Data analytic วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ส่งให้ทีม Call center เข้าเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง คาดเริ่มเห็นความชัดเจนต้นปีหน้า

“หากทำสำเร็จจะทำให้บริษัทเปลี่ยนตลาดจาก Red Ocean เข้าสู่ Blue Ocean เกิด S-Curve ใหม่และโอกาสได้รับ Valuation แบบ Tech company”

อย่างไรก็ตาม หากอิงกำไร Pre-Covid ที่ 30-50 ล้านบาทจะได้ P/E เฉลี่ยที่ 125-208x ซึ่งสะท้อนความคาดหวังของการ Transformation ไปแล้วแนะนำ Wait & See รอความชัดเจนของธุรกิจใหม่

เงินสดเต็มหน้าตัก/หนี้ต่ำ จ่อลงทุนธุรกิจดิจิทัลเพิ่ม

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)  ประเมินแนวรับ 12 บาท แนวต้าน 12.6 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาส ทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 13-13.50 บาท (Stop loss 12 บาท ประเมิน Sentiment บวกจาก การ Re-opening ธุรกิจท่องเที่ยวที่คาดกลุ่มลูกค้าสายการบินจะกลับ มาใช้บริการ Call center ในปีหน้า

ธุรกิจใหม่ เตรียมเข้าลงทุนในบริษัท “บล็อกเชน ไพร์ม โฮลดิ้ง ในสัดส่วน 20% ซึ่งเป็นธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockchain Solutions ในโครงการ “Social Bureau” (แพลตฟอร์มรายงานและตรวจสอบประวัติอาชญากรรมบนบล็อกเชน) คาดมีโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจด้านดิจิทัลอื่นๆอีก โดยจะมีเงินสดจากการเพิ่มทุนราว 280 ล้านบาท ขณะที่ D/E ratio ณ ไตรมาส 3/64 ต่ำเพียง 0.25 เท่า (ยังไม่รวมเงินจากการเพิ่มทุน)