เตือน! หุ้นเสี่ยงผันผวนต่อ บล.ทิสโก้เชียร์”โรงไฟฟ้า”

HoonSmart.com>> หุ้นไทยเทคนิคเคิลรีบาวด์ตามต่างประเทศ ดัชนีพุ่งกว่า 22.12 จุด จ่อ 1,600 จุด บล.ดีบีเอสฯ เตือนยังไม่น่าวางใจ เล่นรอบรีบาวด์ เข้าไว-ออกไว บล.เอเซีย พลัส คาดตลาดรอเฟดประชุมเร่งลดคิวอี 14-15 ธ.ค.โอเปกพลัสถก 2 ธ.ค.นี้ บล.ฟินันเซียฯ ตีกรอบหุ้นเดือนธ.ค. 1,550-1,630 แบ่งไม้ทยอยสะสม เน้นหุ้นปลอดโควิด BCH, JWD, MEGA, NSL, SYNEX บล.ทิสโก้เพิ่มน้ำหนักหุ้นโรงไฟฟ้า ยก EGCO เด่นสุด ให้เป้าใหม่ 215 บาท บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ชูหุ้นปิโตรเคมี สเปรดเพิ่ม แนะ IVL-SCC บล.โนมูระฯ แนะหุ้นกำไรเพิ่มจากเงินบาทอ่อนค่า

วันที่ 1 ธ.ค.2564 ตลาดหุ้นไทยเด้งกลับขึ้นแรง ดัชนีปิดเกือบจุดสูงสุดที่ 1,590.81 จุด เพิ่มขึ้น 22.12 จุด หรือ +1.41% มูลค่าการซื้อขาย 93,864.33 ล้านบาท หลังจากนักลงทุนต่างชาติขายน้อยลงเหลือ 1,730.92 ล้านบาท ส่วนสถาบันไทยพลิกมาซื้อ 1,582 ล้านบาท และนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 617 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ในภูมิภาคนี้นำโดยเกาหลีใต้ +2.14% ตลาดยุโรปปรับตัวขึ้น และดาวโจนส์ล่วงหน้าบวกกว่า 200 จุด หลังจากคลายความกังวลโควิดโอไมครอนไม่ร้ายแรงอย่างที่กังวล  รวมถึงราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก ในส่วนของหุ้นไทย 3 วันทรุดเกือบ 80 จุด หรือมากกว่า 4%   จึงมีแรงซื้อหุ้นใหญ่กลับในกลุ่มเปิดเมือง แบงก์ พลังงาน แม้จะมีปัจจัยลบใหม่จากประธานเฟดประกาศเร่งลดคิวอีเร็วกว่าแผนเดิมก็ตาม

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่าปัจจัยต่างประเทศยังดูไม่น่าวางใจ และต้องใช้เวลาอีกนานพอควรกว่าที่จะเข้าใจถึงไวรัสกลายพันธุ์ จึงยังกดดัชนีต่อไป และต่างชาติก็ขายสุทธิมาอย่างต่อเนื่อง จึงคงคำแนะนำระยะสั้น เล่นรอบรีบาวด์ และเข้าไว-ออกไว เพื่อความปลอดภัย

บล.เอเซียพลัสระบุว่า ตลาดหุ้นที่ร่วงลงแรงเกือบ 5% ส่วนหนึ่งเกิดจากธุรกรรม Block Trade มีการขายออกมา ในทางปัจจัยพื้นฐานที่ระดับราคาปัจจุบันถือว่ามีความน่าสนใจ มีระดับ Market Earning Yield Gap กว้างถึง 4.6% แต่ด้วยระดับความวิตกกังวลที่แวดล้อมอยู่ในปัจจุบัน ก็น่าจะทำให้ดัชนีผันผวนต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

“เฟดอาจเร่งเดินหน้าปรับลดวงเงินคิวอีให้เร็วขึ้นจากแผนเดิม จะสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะสั้น เชื่อตลาดจะให้น้ำหนักการประชุมในวันที่ 14-15 ธ.ค.2564 อย่างใกล้ชิด สภาพคล่องส่วนเกินมีโอกาสลดลงได้เร็วขึ้น กลยุทธ์แนะถือเงินสดในมือ 25-35% รอสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วค่อยทยอยเข้าสะสม ส่วนพอร์ตที่เหลือแนะนำสร้างสมดุลด้วยหุ้นที่มีเกราะป้องกันโควิด อย่าง STGT, TU และ BCH” บล.เอเซียพลัสระบุ

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค. ประเมินกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,550-1,630 จุด จับตาความเสี่ยงเพิ่มเติมจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอนกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจ กลยุทธ์จึงแนะนำ “แบ่งไม้ทยอยสะสม” ที่ระดับ 1,590 จุดและ 1,550-1,570 จุด ส่วนหุ้นแนะนำเลือกหุ้นที่ไม่ถูกกระทบจากโควิด ได้แก่  BCH, JWD, MEGA, NSL, SYNEX

ด้านบล.ทิสโก้ให้ทยอยสะสม ไม่รีบร้อน เน้นตั้งรับที่โซน SET 1,550-1,560 (ปิด GAP) และ 1,520 จุด โดยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้าขึ้นเป็น”มากกว่าตลาด”  และเลือก EGCO เป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ ปรับคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ ให้เป้าพื้นฐานใหม่ที่ 215 บาท ปรับขึ้นจาก 199 บาท คาดกำไรปี 2565 เติบโตเท่าตัว แตะระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น PE เพียง 7 เท่า และมีเงินปันผลสูงที่ 4% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจท่ามกลางความไม่แน่นอนของโควิดสายพันธุ์ใหม่

ส่วนหุ้นพลังงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รายงานว่า ค่าการกลั่นลดลงเร็ว และราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการประชุม OPEC+ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาฟื้นตัวได้  ในช่วงนี้มองหุ้นปิโตรเคมีดูเด่นกว่า หุ้นเด่น คือ IVL, และ SCC

ขณะที่บล.โนมูระ พัฒนสินมองหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากอ่อนค่าของเงินบาทแบบเร่งตัว  การอ่อนค่าทุกๆ 1 บาท หนุนกำไรสุทธิของธุรกิจหลายกลุ่ม อาทิ เกษตรอาหาร +3% ถึง 1% แนะนำ TU, CPF, NER, XO เครื่องดื่ม 7%ถึง 10%  อาหารสัตว์เลี้ยง +7% แนะ ASIAN อิเล็กทรอนิกส์ +3% ถึง +2%