HoonSmart.com>>พิษสง”โอไมครอน”แรง ซีอีโอ Moderna วิตกวัคซีนเอาไม่อยู่ ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อรายแรก โฆษกรัฐบาลปฏิเสธข่าวไทยเตรียมล็อกดาวน์ หุ้นโลกผันผวนหนัก ไทยเหวี่ยงแรงวันเดียว 46.15 จุด ยุโรปพลิกมาติดลบกว่า 1% ดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วง 500 จุด บล.ทิสโก้มองกรณีเลวร้ายสุด ฉุดหุ้นทั่วโลกร่วง 15-20% กลยุทธ์ บล.หยวนต้าแนะกอดเงินสด 50% บล. เอเซียพลัส ให้ถือ 25% บล.โนมูระฯ ชวนพอร์ตกลาง-ยาว เก็บเพิ่มอีก 5-10% เป็น 60-65% บล.เมย์แบงก์ยืนเป้าปี65 ที่ 1,750 บล.ฟินันเซียฯชวนพักเงินในหุ้นปลอดภัย บล. เคจีไอชู JASIF-DIF-HREIT-ALLY-GROREIT
วันที่ 30 พ.ย. 2564 ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงตามต่างประเทศ โดยภาคเช้ากระโดดขึ้นไปมากถึง 22.41 จุด ดัชนีแตะสูงสุด 1,612.10 จุด แต่ภาคบ่ายดิ่งลงแรงตามต่างประเทศ ต่ำสุด 1,565.95 จุด -23.74 จุด ก่อนปิดที่ 1,568.69 จุด ทรุด- 21.00 จุด คิดเป็น-1.32% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 159,490.87 ล้านบาท ฝีมือพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์มากที่สุด 7,201 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขาย 3,535 ล้านบาท ติดต่อเป็นวันที่ 3 ทำให้รวมเดือนพ.ย. ต่างชาติมียอดขายสุทธิ -10,981.54 ล้านบาท พลิกจากที่มีการซื้อสุทธิติดต่อกันหลายเดือนก่อนหน้า
สาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยดิ่งลงแรงในภาคบ่าย รับข่าว ซีอีโอ Moderna ยอมรับว่า”โอไมครอน” ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนโมเดอร์นาลดลง ขอเวลาในการวิจัยเพิ่ม กระทบความเชื่อมั่น ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าไหลลงแรงกว่า 500 จุด รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปพลิกจากบวกเป็นติดลบมากกว่า 1% และญี่ปุ่นยังพบผู้ติดเชื้อรายแรก ส่วนไทยมีกระแสข่าวว่าครม.เตรียมล็อกดาวน์หากพบผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ตามนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาปฎิเสธข่าว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้มีการหยิบยกมาตรการเรื่องไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอนขึ้นมาหารือ แต่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ติดตามการระบาดของเชื้อโควิดโอไมครอน อย่างใกล้ชิดเชื่อว่าการระบาด จะยังไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ หากจะมีผลจริงๆ น่าจะเป็นปี 2565
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินถึงความเสียหาย แต่เบื้องต้นกรณีเลวร้ายสุด ระบาดอย่างรุนแรง คาดตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันถึง 15-20% ในทางกลับกัน กรณีผลกระทบไม่รุนแรง ตลาดหุ้นก็อาจดีดกลับขึ้นประมาณ 2-3% เท่านั้น ดังนั้นตลาดจะยังปรับตัวลง (Downside) มากกว่า และปัจจุบันยังไม่สะท้อนความเสี่ยงอย่างเพียงพอ คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยอยู่ในช่วงผันผวน แม้ช่วงเช้ารีบาวด์กลับขึ้นมา เนื่องจากตลาดอยู่ในช่วงภาวะ Oversold แต่หลังจากที่ซีอีโอของโมเดอร์นา เผยว่าวัคซีนปัจจุบันมีประสิทธิภาพลดลง เมื่อนำมาเทียบกับ “โอไมครอน” และยังต้องใช้เวลาวิจัยอีกสักระยะ ทำให้กดดันต่อกลุ่ม Reopening มีแรงขายออกมาบางส่วน
“แนะนำถือเงินสด 50% เพื่อรอความชัดเจนของตลาด ประเมินแนวรับไว้ 3 ช่วง ได้แก่ 1,590 จุด , 1,580 จุด และ 1,570 จุด สำหรับพอร์ตลงทุนทยอยสะสมกลุ่ม Reopening Play ได้ เน้น กลุ่มธนาคาร, บันเทิง, ขนส่ง และค้าปลีก ได้แก่ KBANK, BAY, CPALL, CPN BEC และAOT ซึ่งมองว่าการแพร่ระบาดที่ไม่รุนแรงและไม่มีการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบเหมือนช่วงก่อนหน้า ส่วนกลุ่มที่สามารถเก็งกำไร แนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากโควิด-19 ได้แก่ STGT และ BCH ” นายณัฐพล กล่าว
ด้านนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงายวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นอาจจะมีความผันผวนอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,590 จุด และ 1,560 จุด ในช่วงสั้นแนะนำถือเงินสดสัดส่วน 25% เพื่อรอซื้อ หากต้องการซื้อในช่วงนี้เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโควิด-19 ได้แก่ STGT, TU และBCH ส่วนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง หลีกเลี่ยงก่อน
ส่วนนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ทิศทาง Fund Flow ไหลสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ตลาดหุ้นยังคงผันผวน แต่ฐานของดัชนีบริเวณ 1580-1565 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจในการเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นขึ้นอีก 5-10% จากเดิม 55% เป็น 60-65% พอร์ตการลงทุนระยะกลางถึงยาวแนะนำกลุ่มที่เป็น Mega Theme ได้แก่ โรงไฟฟ้า (GPSC และGULF), กลุ่มสื่อสารฯ (ADVANC และTRUE), ส่งออก (KCE, HANA และSAPPE), กลุ่มธนาคาร(SCB และKBANK), กลุ่ม Consumer Finance(JMT และTIDLOR) และกลุ่ม Digital Technology Consultant
ส่วนการเก็งกำไร เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากความกังวล แต่ต้องมีจุด Stop Loss คือ โรงพยาบาล (BCH, CHG และEKH), กลุ่มทำอาหารที่บ้าน (XO), กลุ่มอาหารสัตว์ (ASIAN), กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการการทำงานหรือเรียนอยู่ที่บ้าน และกลุ่มที่กระทบน้อย (ADVANC, INTUCH, TRUE, JMART, JMT, COM7, DOHOME, HMPRO และSAPPE) แต่แนะระมัดระวังกลุ่มถุงมือยาง STGT (เนื่องจากถุงมือยางในมาเลเซียลดลง -6% ถึง -8%)
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินแนวสะสม 1,550-570 จุด ระยะสั้นยังเน้นพักเงินในหุ้นที่ถูกกระทบจากโควิดจำกัด ได้แก่ BCH, CHG, EKH, SYNEX, KCE
ขณะเดียวกันในวันนี้ MSCI รีบาลานซ์ดัชนี ส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนดัชนีหุ้นไทยลดลงราว -0.02% อยู่ 1.64% คิดเป็นเม็ดเงินราว 70 ล้านดอลลาร์
นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ตลาดปรับฐานแรงตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลไปแล้วพอสมควร และในเชิงกลยุทธ์ยังคงมุมมองระยะยาว เป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด ดังนั้น ความผันผวนที่เกิดขึ้นจึงเป็นโอกาสตั้งรับสะสมหุ้นพื้นฐานเด่น EA,JMART, JMT,SCC,SNNP,TTB โดยมีจุดตั้งรับสำคัญที่บริเวณ 1,570 – 1,600 จุด
บล. เคจีไอ แนะนำลงทุนใน 5 กองทุนเด่น กำไรดีให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูง (ยีลด์) ได้แก่ JASIF-DIF-HREIT-ALLY-GROREIT