“เอสไอเอสบี” ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ ธุรกิจการศึกษารายแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ จุดพลุให้บริษัทหลายแห่งระดมทุนตาม มั่นใจนักลงทุนสนใจหุ้น SISB แนวโน้มเติบโตมั่นคง เป้าหมายเพิ่มคุณภาพการศึกษาและชำระหนี้ ส่วนซีอีโอ”ยิว ฮอค โคว” แจงบริษัทเตรียมความพร้อมมานานกว่า 6 ปี ตั้งเป้า 3-5 ปี โตเท่าตัวทั้งจำนวนนักเรียนและรายได้
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอสไอเอสบี (SISB) เปิดเผยว่า บริษัทเอสไอเอสบี เป็นผู้รับใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นธุรกิจการศึกษารายแรกที่ระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชื่อว่าจะมีธุรกิจการศึกษาเข้ามาระดมทุนเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการจุดพลุครั้งประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย โดยจะเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก(ไอพีโอ)จำนวน 260 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯทันภายในปีนี้
“มั่นใจว่า SISB จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากมีอัตราการเติบโตมาโดยตลอดและมั่นคง”นายสมภพ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของ SISB นายสมภพ กล่าวว่า บริษัทมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 20.16% นับตั้งแต่ปี 2558-2560 โดยมีรายได้รวมจำนวน 543.92 ล้านบาท,623.49 ล้านบาทและ 785.38 ล้านบาท ตามลำดับ และครึ่งปีนี้มีจำนวน 465 ล้านบาท เติบโต 25.92% โดยหลักประมาณ 90% มาจากค่าธรรมเนียมการศึกษา
ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 76.51 ล้านบาท , 84.73 ล้านบาท และ 59.60 ล้านบาท ตามลำดับ ครึ่งปีแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.70 ล้านบาท
ด้านนาย ยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสไอเอสบี กล่าวว่า บริษัทใช้เวลาเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดมานานกว่า 6 ปี และเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาเข้าจดทะเบียนเป็นรายแรก
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้รับใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงเรียนทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ 1.โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ 2.โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์สุวรรณภูมิ 3.โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี 4.โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์เอกมัย และบริษัทร่วมทุนกับผู้รับใบอนุญาตอีก 1 แห่งคือ โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์เชียงใหม่ ซึ่งเปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา (เตรียมอนุบาล) จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถรองรับนักเรียนได้สูงสุดถึง 4,175 คน ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมด 2,274 คน ตั้งเป้าภายใน 3-5 ปีจะเพิ่มนักเรียนเป็น 4,000 คน ซึ่งจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า จากปี 2561
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า โรงเรียนในเครือของบริษัทเปิดสอน 3 ภาคเรียน คิดค่าเล่าเรียนเฉลี่ย 400,000 บาท/คน/ปี หรืออยู่ในช่วง 300,000-600,000 บาท/คน/ปี ซึ่งใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมโรงเรียนนานาชาติที่มีค่าเล่าเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 200,000-1,000,000 บาท/คน/ปี
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินธุรกิจเป็นผู้รับใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงเรียนในระบบ ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาติ และให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยเป็นผู้เริ่มนำหลักสูตรการศึกษาของสาธารณรัฐสิงคโปร์ มาใช้เป็นหลักสูตรพื้นฐานในการจัดเรียนการสอน ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นหลักสูตรที่มีจุดเด่นในการจัดการเรียนการสอนแบบ 3 ภาษา ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาไทย
ส่วนเงินที่ระดมทุนมาได้ ส่วนใหญ่ใช้ชำระหนี้ ทำให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลงจาก 1.98 เท่าเหลือไม่ถึง 1 เท่า ช่วยเพิ่มความสามารถในการกู้ยืมเงิน ส่วนเงินที่เหลือจะนำไปปรับปรุงอาคารและซื้ออุปกรณ์การเรียนเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียน ซึ่งจะเป็นกำลังหลักของประเทศชาติในอนาคต ส่วนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาศักยภาพของโรงเรียนนานาชาติที่มีความพร้อมที่จะยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้มีความแข็งแกร่ง และได้รับการยอมรับจากสถาบันการศึกษาทั่วโลก