HoonSmart.com>> RJH เปิดกำไรไตรมาส 3/64 กว่า 484 ล้านบาท โตแรง 302% จากงวดปีก่อน อานิสงส์โควิดระลอกใหม่ หนุนผู้ป่วยตรวจเชื้อโควิดพุ่ง กวาดรายได้ 1,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% หนุน 9 เดือนกำไร 729 ล้านบาท บอร์ดเคาะปันผลระหว่างกาลอัตรา 1.10 บาท/หุ้น ขึ้น XD 22 พ.ย.นี้ จ่ายเงิน 7 ธ.ค.64
บริษัท โรงพยาบาลราชธานี (RJH) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2564 กำไรสุทธิ 484.28 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.61 บาท เพิ่มขึ้น 302% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 120.40 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.40 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2564 กำไรสุทธิ 728.60 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.43 บาท เติบโต 172% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 268.00 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.89 บาท
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.2564 ในอัตรา 1.10 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 23 พ.ย. 2564 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 22 พ.ย. 2564 และจ่ายเงิน 7 ธ.ค. 2564
กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลในงวดไตรมาส 3/2564 จำนวน 1,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากคนไข้ทั่วไปเพิ่มขึ้น 220% โดยรายได้ที่เติบโตขึ้นมากมาจากรายได้ทีเกี่ยวข้องกับคนไข้ Covid-19 ได้แก่ การตรวจหาเชื้อ Covid-19 และ IPD โดยรายได้จากการตรวจหาเชื้อ Covid-19 มีจำนวน 142 ล้านบาทในไตรมาส 3 เพิ่มจาก 67 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าอัตราเบิกจ่าย RT-PCR จะลดลงจาก 2,500 บาทเป็น 1,700 บาท ตั้งแต่เดือนส.ค. 2564 ก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากการตรวจหาเชื้อ ทั้ง RT-PCR และ ATK รวม 94,800 เคส เพิ่มกว่า 3 เท่า จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไตรมาสนี้
ด้านรายได้ประกันสังคมลดลง 17% แม้จำนวนผู้ประกันตนได้เพิ่มขึ้น 6,900 เมื่อเทียบงวดปีก่อนและเพิ่มขึ้น 1,900 ราย เมื่อเทียบไตรมาสก่อนเป็นจำนวนผู้ประกันตนเฉลี่ย 200,700 คนในไตรมาสนี้ เนื่องจากการระบาด Covid-19 ทำให้คนไข้เลี่ยงผ่าตัดและปัญหาขาดแคลนเลือด นอกจากนี้ ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ประกันสังคมเพิ่มเติม 20 ล้านบาท เนื่องจากการบันทึกรายได้ค่าภาระเสี่ยงและโรคเรื้อรังของปี 2562 ต่ำกว่าที่ควร
ต้นทุนในการประกอบกิจการโรงพยาบาล เพิ่มขึ้น 47% เนื่องจากต้นทุนเกี่ยวข้องกับคนไข้ Covid-19 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นทำลายสถิติ ปรับตัวสูงสุด จาก 36% เป็น 57% ของรายได้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จำนวนมากส่งผลให้เกิดประหยัดต่อขนาดของต้นทุน