4 กูรูชี้หุ้นพ.ย. ผันผวน รอซื้อต่ำกว่า 1,600

HoonSmart.com>>  “บล.เมย์แบงก์ฯ” มองหุ้นครึ่งแรกเดือน พ.ย. ตลาดแกว่งตัว  เตือนเปิดเมือง เสี่ยงผู้ติดเชื้อเพิ่ม ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง “บล.หยวนต้า” คาดตลาดปรับขึ้น กรอบ 1,600-1,650 จุด ลุ้นกองทุนไทยกลับเข้ามาซื้อ หลังขาย 3 เดือนติด “บล.โนมูระฯ” ชูกลยุทธ์ตั้งรับ รอซื้อ 1,590-1,610  และ 1,550-1,570   สะสม ADVANC-GPSC-JMT-HMPRO-TIDLOR-KCE-SCGP “บล.ทรีนีตี้” จับจังหวะตลาด แถว 1,580-1,660  

วันที่ 1 พ.ย.2564 ประเทศไทยเริ่มเปิดประเทศ  นักท่องเที่ยวจาก 63 ประเทศเข้ามา โดยไม่มีการกักตัว ภาพรวมยังไม่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยดัชนีเปิดบวกตามตลาดตางประเทศ ก่อนจะไหลลงอย่างรวดเร็วดิ่งกว่า 10 จุด และฟื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,613.78 จุด -9.65  จุดหรือ -0.59% ด้วยมูลค่าการซื้อขายปานกลาง  69,806.13  ล้านบาท

“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นครึ่งเดือนพ.ย.นี้  มีปัจจัยกดดันจากความกังวลตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น หลังเปิดประเทศ รวมถึงการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่โดนผลกระทบโควิด-19

นอกจากนี้ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นตัวแปร การประชุมธนาคารสหรัฐ (เฟด)ในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ จะรู้ผลการลดวงเงิน QE ถ้าลดประมาณ 15,000 ล้านเหรียญ ไม่น่ากังวล ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว ส่วนเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมา อาจจะเป็นปัจจัยกดดันให้เฟดส่งสัญญาณเตรียมเข้าควบคุมเงินเฟ้อ  โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,600-1,610 จุด เป็นเส้นค่าเฉลี่ย 75 วัน โดยช่วงก่อนดัชนีปรับตัวลงมาทดสอบแล้ว 2 ครั้ง และดีดกลับได้ทุกครั้ง ส่วนแนวต้านแรกให้ไว้ที่ 1,630 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,650 จุด

“กลยุทธ์การลงทุนแนะนำใช้โอกาสตลาดย่อตัว ทยอยสะสม หุ้นที่แนวโน้มกำไรฟื้นตัว รวมถึงรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ไปแล้ว แนะนำ KBANK, DTAC และ SCGP ส่วนหุ้นที่แนวโน้มกำไรโดดเด่นทั้งไตรมาส 3 และ 4 แนะนำ JMT และASK”

แนวโน้มครึ่งเดือนหลัง ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่มีการเร่งตัวขึ้น คาดว่าตลาดอาจจะปรับตัวได้ดีขึ้น โดยมองว่าหุ้น Domestic Play น่าสนใจ ราคาหุ้นหลายตัวยังไม่ปรับขึ้น เน้นหุ้นขนาดใหญ่ แนะนำ BEM, CPALL และ AOT ส่วนกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ยังไม่ค่อยน่าสนใจ ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมาก ราคาน้ำมันดิบก็เริ่มลดลง ในที่สุดโอเปกทยอยปรับขึ้นกำลังการผลิตตามแผน

“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นเดือนพ.ย. มีโอกาสแกว่งตัวปรับขึ้นได้ โดยมี BEM, CPALL และ AOT ให้แนวรับที่ 1,590-1,600 จุด และแนวต้านที่ 1,650-1,660 จุด

มีปัจจัยบวกเรื่องการเริ่มเปิดประเทศ , ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ และการที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศต่างๆ

อย่างไรก็ตามมีปัจจัยลบที่ต้องติดตาม คือการเมือง การเปิดสภาจะมีการพิจารณาร่างกฎหมายหลายฉบับ ถ้ามีความขัดแย้ง หรือ ไม่ราบรื่นก็อาจจะเป็นปัจจัยลบได้ ส่วน ต่างประเทศ  คือเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ด้านการลดวงเงินคิวอี อาจจะไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่มีน้ำหนักมาก หลังจากรู้ผลในวันพุธนี้ (3 พ.ย.) ไปแล้ว

“ในเดือน พ.ย.นี้ เรามองว่าตลาดจะแกว่งตัวขึ้น หวังว่ากองทุนในประเทศจะกลับเข้ามาซื้อ หลังขายสุทธิติดต่อกัน 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.2564) ซึ่งเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ขายปรับพอร์ตไปพอสมควร รวม 18,063.29 ล้านบาท ส่วน Fund Flow ต่างประเทศมองว่าถ้าหลังจากช่วงกลางเดือน พ.ย.ไปแล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะมีแรงซื้อจาก Fund Flow ต่างประเทศเข้ามาบ้าง”นายณัฐพล กล่าว

สำหรับการลงทุนแนะนำ Reopening Play ได้แก่ AOT, CRC, BJC, CPALL,KBANK และ BBL คาดว่าการท่องเที่ยวในประเทศน่าจะกลับมาคึกคัก และการบริโภคน่าจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐที่กระตุ้นการบริโภคด้วย

“กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า เดือน พ.ย. ประเด็นหลักคือ 1.การประชุมเฟดจะประกาศ QE Tapering  ต้องติดตามการส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจะเร่งตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ 2.กำไรบจ.ภาคการผลิต ไตรมาส 3/2564 จะดีหรือแย่กว่าที่คาดไว้ 3.การเปิดประเทศ จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหรือไม่ และการควบคุมการแพร่ระบาดจะทำได้ดีหรือไม่

“กลยุทธ์เดือนพ.ย. แนะนำตั้งรับ ทยอยซื้อเล็งไว้ 2 กรอบ กรอบแรกที่ 1,590-1,610 จุด และกรอบสองที่ 1,550-1,570 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,640-1652 จุด หุ้นเด่นประจำเดือน ได้แก่ ADVANC, GPSC, JMT, HMPRO, TIDLOR, KCE และSCGP” กรภัทรกล่าว

“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ กล่าวว่า หุ้นเดือนพ.ย.คาดจะแกว่งตัวในกรอบ 1,580-1,660 จุด หากยังคงแกว่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของกรอบที่ให้ไว้ จำกัดการซื้อขาย แนะเพียงถือครองหุ้นต่อไป ถ้าปรับขึ้นไปบริเวณกรอบบนที่ระดับ 1,650-1,660 จุดแนะนำให้ใช้จังหวะลดพอร์ต ในทางกลับกันหากลงไปบริเวณกรอบล่างที่ 1,580 จุด ให้เพิ่มน้ำหนักได้

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Property Fund & REIT แนะนำลงทุนที่น้ำหนัก 10% ของพอร์ต ผ่านกองทุนที่กระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างๆ ใน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มองเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนตามธีมเปิดเมืองมากที่สุด ณ เวลานี้ จากระดับราคาที่ยังคง Laggard อย่างมาก และมีมูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CRC, GLOBAL 3.กลุ่มขนส่ง ร้านอาหาร และโรงภาพยนตร์ ที่ได้ประโยชน์จากการออกมาสัญจรของผู้คนที่มากขึ้น ได้แก่ BEM, BTS, M, MAJOR 4.กลุ่มที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว ราคาหุ้นบางตัวที่ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ค่อนข้างมาก  ได้แก่ AOT, AWC, ERW