ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 506 จุด ผลประชุมเฟดหนุน

HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 506 จุด ผลประชุมเฟดยังหนุน ปัญหาหนี้ของอสังหาริมทรัพย์จีนผ่อนคลายลง หุ้นยุโรปและราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) วันที่ 23 กันยายน 2564ปิดที่ 34,764.82 จุด เพิ่มขึ้น 506.50 จุด หรือ 1.48% จากการผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ปผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีน และจากการธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ยังคงไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในขณะนี้

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,448.98 จุด เพิ่มขึ้น 53.34 จุด, +1.21%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,052.24 จุด เพิ่มขึ้น 155.40 จุด, +1.04%

เมื่อวานนี้เฟดออกแถลงการณ์หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินว่า หากเศรษฐกิจมีความคืบหน้าตามคาด การลดวงเงินซื้อพันธบัตรอาจจะเริ่มขึ้นในอย่างช้าๆ

นักวิเคราะห์จาก Allianz Investment Management ระบุว่า มีความไม่แน่นอนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่เฟดได้สร้างความเชื่อมั่นในตลาดเมื่อวานนี้ ขณะที่ความเสี่ยงอื่นเช่น ปัญหาหนี้และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนดูเหมือนว่าลดลง ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อ

การปรับขึ้น 7.2% ของหุ้นเซลส์ฟอร์ซ หลังจากปรับคาดการณ์รายได้ปี 2022 ขึ้นมีส่วนหนุนดัชนี DJIA

หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 4.51% หุ้น 3M บวก 0.94% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.75%

หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 3.39% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 2.49%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนกำไรของกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้หุ้น เจพีมอร์แกน แบงก์ ออฟ อเมริกา และซิตี้แบงก์ต่างเพิ่มขึ้นกว่า 3%

นักลงทุนมองข้ามสถานการณ์หนี้ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป จึงทำให้มีแรงซื้อต่อเนื่อง แม้การยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด สะท้อนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน

กระทรวงแรงงานรายงานข้อมูลการยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 16,000 ราย มาที่ระดับ 351,000 ราย สูงสุดในรอบ 1 เดือน และสูงกว่า 320,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

นักวิเคราะห์จาก Independent Advisor Alliance ระบุว่า แม้จะมีความปั่นป่วนเพิ่มขึ้น แต่ยังมองในทางบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเชื่อว่าการลดลงของราคาหุ้นเป็นโอกาสซื้อเพราะปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งและณ จุดนี้ ดูเหมือนว่าการถดถอยยังน่าจะใช้เวลาอีกกว่าปีกว่าจะเกิดขึ้น

ไอเอชเอส มาร์กิต รายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนกันยายนลดลงลงสู่ระดับ 54.5 ต่ำสุดในรอบ 1 ปี จากระดับ 55.4 ในเดือนสิงหาคม

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น นักลงทุนขานรับผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารสหรัฐที่คงอัตราอัตราดอกเบี้ยและไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนในการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

ข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนว่ากิจกรรมเศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือนไม่มีผลทางลบต่อตลาด โดยไอเอชเอส มาร์กิต รายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนกันยายนลดลงมาที่ 56.1 จาก 59.0 เดือนสิงหาคม

ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.1% และคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 895 พันล้านปอนด์

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 467.50 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด, +0.93%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,078.35 จุด ลดลง -5.02 จุด, -0.07%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,701.98 จุด เพิ่มขึ้น 64.98 จุด, + 0.98%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,643.97 จุด เพิ่มขึ้น 137.23 จุด, +0.88%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 73.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 77.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล