GULF จ่อออกหุ้นกู้ 3 หมื่นล้านบ. ทริสจัดเรทติ้ง A-

HoonSmart.com>>ทริสจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้”กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯ” วงเงิน 3 หมื่นล้านบาทที่ระดับ “A- ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม 2.5 หมื่นล้านบาท สะท้อนสถานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย  กระจายความเสี่ยงลงทุนดี กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟ แม้มีความเสี่ยงจากขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ภาระเงินกู้เพิ่มขึ้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่ออีบิทดาเป็น 10 เท่า คาดลดเหลือ 8-9 เท่า ในปี 65-66 หลังรับรู้กำไรของ อิททัชฯเต็มจำนวน

บริษัททริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่ระดับ “A” และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันที่ระดับ “A-” แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น “คงที่” ขณะเดียวกัน ทริสยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาทที่ระดับ “A-” ด้วย ซึ่งจะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินของหุ้นกู้ที่ออกจำหน่าย

ทั้งนี้ การปรับเพิ่มวงเงินของหุ้นกู้ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต เนื่องจากบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และ/หรือขยายกิจการ ซึ่งได้พิจารณาอยู่ในอันดับเครดิตแล้ว

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ตลอดจนการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA/Stable” จากทริสเรทติ้ง รวมถึงผลงานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับ

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตลดทอนลงจากความเสี่ยงจากการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศของบริษัทและการมีภาระเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลของการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ด้วย

อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทซึ่งต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นนั้นสะท้อนถึงลักษณะการด้อยสิทธิทางโครงสร้างของหุ้นกู้เมื่อเปรียบเทียบกับเงินกู้ของบริษัทย่อย

ทั้งนี้ ณ เดือนมิ.ย. 2564 บริษัทฯมีหนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งประมาณ 1.2 แสนล้านบาทเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทย่อยซึ่งถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 74% สูงกว่าเกณฑ์ของทริสที่ระดับ 50% ส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิ์กว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากลำดับสิทธิ์เรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัทตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริส

หลังการซื้อหุ้นบริษัทอินทัชฯ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท(อีบิทดา)น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 10 เท่าในปี 2564 จาก 8.4 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ก่อนที่จะดีขึ้นโดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 8-9 เท่าในระหว่างปี 2565-2566 เมื่อมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัทอินทัชฯเต็มจำนวนแล้ว นอกจากนี้ ทริสยังคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ได้ต่อไปด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสฯว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีการดำเนินงานอย่างราบรื่นและสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตามแผน  ขณะที่โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ตามกำหนดการ ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทหลังจากรวมผลการดำเนินงานของบริษัทอินทัชฯแล้วนั้นไม่น่าจะแตกต่างไปจากการคาดการณ์ของทริสอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่ออีบิทดาปรับตัวดีขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 8 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทล่าช้าไปอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบต่อกระแสเงินสดที่คาดการณ์ไว้ และการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้จำนวนมากจนทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตได้