JMART-BTS โชว์กลยุทธ์ยิ่งใหญ่ ลั่นกำไรพุ่งยกแผง1-5 เท่า

HoonSmart.com>> “เจ มาร์ท” ผนึก “ยู ซิตี้” – “วีจีไอ” ร่วมสร้างกลยุทธ์ จากฐานทุนใหญ่ขึ้นมโหฬาร  2.5 หมื่นล้าน ประเดิมนำ JFin Coin มาใช้ในกลุ่มบีทีเอสไตรมาส 1/65  JMART มั่นใจกำไร 3 ปีข้างหน้าโตไม่ต่ำกว่า 50% ต่อปี ส่วน SINGER-JMT ปักธงขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม “ซิงเกอร์” กำไรพุ่งขึ้น 5 เท่าในปี 68 “เจ เอ็ม ทีฯ”กำไรพุ่งขึ้น 3 เท่าใน 3 ปี  “กวิน”ประกาศใช้ U เป็นเรือธงธุรกิจการเงินการลงทุน หลังขายทิ้งโรงแรมในยุโรปและอสังหาฯ

นายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) นำทีมผู้บริหารแถลงกลยุทธ์ทางธุรกิจ 1+1 มากกว่า 2 เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2564ที่ผ่านมา

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ยู ซิตี้ (U) และ บริษัท วีจีไอ (VGI) ที่อยู่ภายใต้กลุ่มของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) จะเป็นโอกาสในการทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีการเติบโตครั้งสำคัญ หรือ เติบโตแบบก้าวกระโดด (J Curve) ด้วยฐานทุนมโหฬารมากกว่า 25,000 ล้านบาท โดยผนึกกำลังร่วมกับผู้นำที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจด้าน Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ ที่มีธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ ผสานด้านความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ปัจจุบัน JMART มีฐานลูกค้า 7 ล้านคน

นอกจากธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัท ด้วยต้นทุนการเงินที่ลดลงของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) และบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) จะสะท้อนกลับมาทำให้กำไรของบริษัทเติบโตโดดเด่น โดย JMART ตั้งเป้าภาพรวมกำไรเติบโตไม่น้อยกว่า 50% ต่อปี ในอีก 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) ซึ่งยังไม่นับรวมการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ที่ร่วมกับ VGI และ U City

ทั้งนี้ U  และ VGI เข้าลงทุนใน JMART เป็นจำนวนรวมกว่า 17,500 ล้านบาท แบ่งตามสัดส่วนถือหุ้นที่ 9.9% และ 15.0% ตามลำดับ และ U  จะเข้าลงทุน 24.9% ในบริษัท SINGER และซิงเกอร์ยังมีการเพิ่มทุนขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม ทำให้บริษัทฯคาดจะได้รับเงินทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงิน70%เพิ่มทุนใน SINGER, JMT  และอีก 30% จะใช้ในการชำระหนี้ต่างๆและใช้ขยายธุรกิจ  มองหาเพันธมิตรที่สมบูรณ์มากขึ้น

“จากนี้ไปอีก 5 ปีจะเห็น Power of Sennergy จริงๆ ปัจจุบันเราทำธุรกิจได้ 180 องศา ได้บีทีเอสเข้ามาทำได้ 360 องศา เมื่อทุนแกร่ง D/E ลดลง ได้เรทติ้งดีขึ้น ต่อไปจะออกหุ้นกู้ ระดมเงินกู้ ด้วยดอกเบี้ยต่ำ ก็มีโอกาสในการสร้างฐานทุนในอนาคต รวมถึงการขยายโอกาสการเข้าถึงสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม บนมือถือของ เจ เวนเจอร์ เป็นองค์ประกอบสำคัญ สามารถหาลูกค้า 5 หมื่นคนต่อวันได้ แต่ก่อนหาลูกค้า 2 หมื่นต่อวันจากร้านค้า”นายอดิศักดิ์กล่าว

ส่วน JMT จะมีเงินเข้ามาประมาณ 10,000 ล้านบาท ทำให้มีความพร้อมในการเข้าไปประมูลหนี้เสียในระบบเพิ่มมากขึ้น โดยปี 2564 ตั้งเป้าซื้อหนี้มาบริหารไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ปี 2565 ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท และปี 2566 ตั้งไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีเป้าหมายใหญ่ภายใน 3 ปีนี้ (2564-2566) จะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งธุรกิจบริหารหนี้ของประเทศ มีพอร์ตบริหารหนี้ใหญ่ที่สุด และกำไรเติบโต 3 เท่า

ส่วน SINGER คาดว่าจะได้เงินประมาณ 10,600-11,000 ล้านบาท โดยจะนำไปขยายสาขา ขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมถึงนำไปจ่ายคืนหุ้นกู้จำนวน 3,300 ล้านบาท เพื่อลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมากกว่า 700 ล้านบาท  โดยในปี 2565 SINGER ตั้งเป้าที่จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 15,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายใหญ่ในปี 2568 กำไรเติบโตขึ้น 5 เท่า ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของธุรกิจนอนแบงก์ในประเทศไทย  ในไตรมาส 4 จะออกบัตรเครดิต  มีฐานลูกค้ามากขึ้นจากฐานใหม่

“บีทีเอสมีเคอรี่ มีคนขับรถ ในอดีตไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน  ตอนนี้มีฐานรายได้ชัดเจน เราจะเสนอสินเชื่อผ่านซิงเกอร์ หนี้เสียเกิดน้อยเพราะมีฐานข้อมูลแล้ว  ได้รับทำประกันในราคาที่ถูกลง”

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ร่วมมือกัน บริษัทมีแผนที่จะขยายช่องทางการขาย และการเข้าถึงของลูกค้าผ่านช่องทางการตลาดที่บริษัทมีความชำนาญอยู่แล้ว รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการนำสินค้าของ Fanslink เข้ามาวางจำหน่ายร่วมด้วย ซึ่งยังมีบริษัทในเครือที่เป็นตัวแทนของเครือข่ายในการกระจายสินค้าเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย โดยหากผสานกับ Kerry จะเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสในการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือ JMART ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน Blockchain รวมทั้งการศึกษาด้านดิจิทัลโทเคน เป็นโอกาสในการนำโทเคน JFin มาใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS คาดว่าจะเริ่มเห็นภายในไตรมาส 1/2565 จึงเป็นโอกาสที่ดี ในการเติมเต็มอีโคซิสเต็มของ JMART ให้สมบูรณ์ สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการใช้งานแทนเงินสด ซึ่งจะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ครบวงจร พร้อมผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งหมดนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับปรุงบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกรูปแบบ

“การลงทุนในครั้งนี้ ค่อนข้าง อินฟินีตี้ บีทีเอสจะโต แพลตฟอร์มของทั้งสองฝ่าย จะมีซินเน้อจี้มาก กลุ่มเจมาร์ทและ VGI มีแพลตฟอร์มการตลาดที่เข้มแข็งแรงมาก ก็จะขายจองได้เพิ่มขึ้นมหาศาลและมีเคอรี่ส่งของต่อ  เมื่อกลุ่ม JMART มีผลประกอบการดีขึ้น  U และVGI เข้าไปลงทุน  ก็จะรบัรู้กำไรตามสัดส่วนการลงทุน และมีเงินปันผล ทำให้BTS มีทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ U ก็หยุดการขาดทุนหลังจากทยอยขายโรงแรมในยุโรปและอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมีการเติบโตได้ในปี 2565  โดย U เป็นเรือธงของกลุ่มในการดำเนินธุรกิจการเงินและการลงทุน” นายกวิน กล่าว