ประเด็นสำคัญที่ตลาดเฝ้าติดตามในสัปดาห์นี้คงหนีไม่พ้นการสัมนาประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสันโฮลในวันที่ 26-28 ส.ค นี้ ซึ่งหัวข้อในการสัมนาปีนี้ใช้ชื่อว่า “Macroeconomic Policy in an Uneven Economy” โดยเน้นไปที่ความไม่เท่าเทียมกันของเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างรอฟังคือ ถ้อยแถลงนโยบายการเงินของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ว่าจะมีท่าทีส่งสัญญาณลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE Tapering) ในการประชุมครั้งนี้หรือไม่ สอดคล้องกับตลาดที่คาดการณ์ว่าเฟดจะส่งสัญญาณลดขนาด QE ลงในงานสัมนาครั้งนี้ หรือการประชุม FOMC ในเดือนหน้า
ปัจจุบันเฟดสามารถบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 2% ในปี 2564 ได้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่เฟดเริ่มกังวลต่อก็คืออัตราเงินเฟ้อที่อาจลากยาวและสูงเกินควบคุม ส่งผลให้เฟดหันมาให้น้ำหนักกับประเด็นการลด QE มากขึ้น นอกจากนี้ตลาดแรงงานที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของเฟดในการดำเนินนโยบายทางการเงินยังส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9 แสนตำแหน่งต่อเดือน ซึ่งหากสหรัฐฯ ยังรักษาการจ้างงานให้มากกว่าระดับ 500,000 ตำแหน่งต่อเดือนได้อย่างต่อเนื่อง เฟดก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายการจ้างงานมากกว่า 50% ภายในปี 2564 และตลาดแรงงานจะเข้าสู่ภาวะการจ้างงานเต็มที่ในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งจะตรงกับการคาดการณ์ของเฟดที่จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกหลังจากการลด QE เสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้ารอบใหม่ในสหรัฐฯ อาจเป็นประเด็นที่ทำให้เฟดมีท่าทีส่งสัญญาณลดขนาด QE ล่าช้าออกไป ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานควบคุมโรคของสหรัฐฯ ได้กลับมาแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายในอาคารอีกครั้ง พร้อมทั้งเตรียมพิจารณาฉีดวัคซีนโควิดกระตุ้นเข็มที่ 3 โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป