ชี้แนวรับหุ้นเดือนส.ค. 1,470-1,450 KBANK-BBL รอหลุด 100 บาท

HoonSmart.com>>หุ้นเดือนก.ค.ร่วงลงแรง 4.15% ฝีมือต่างชาติทิ้งหนัก 1.7 หมื่นล้านบาท คาดตลาดเดือนส.ค.ไหลลงต่อ หลังจบข่าวกำไรบจ.ไตรมาส 2  สถานการณ์โควิดรุนแรง เสี่ยงรัฐใช้มาตรการเข้มขึ้น บล.ดีบีเอสฯคาดแย่สุดไม่หลุด 1,450 จุด ไม่น่ากลัวเหมือนช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรกดิ่งไปต่ำสุด 969 จุดก่อนเด้งกลับ บล.ฟินันเซีย ไซรัสประเมินขาลงยาวเดือน ส.ค.แนวรับแรกที่ 1,500 จุด และ 1,470 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,570 จุด แนะ 3 กลุ่มกำไรโดดเด่น โรงพยาบาล-อิเล็กทรินิกส์-เดินเรือ บล.เอเซียพลัสคาดเงินยังไหลออก กดดันแบงก์ให้แนวรับกสิกรไทย 97 บาท กรุงเทพ 97 บาท 

“อาภาภรณ์ แสวงพรรค” ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนส.ค. จะมีความผันผวนมากขึ้น หลังจากบจ.เปิดงบไตรมาสที่ 2/2564 ออกมา นักลงทุนต้องปรับพอร์ต เช่น มีการขายหุ้นเมื่อจบข่าวดี หรือ sell on fact รวมถึงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดรุนแรง คาดดัชนีจะแกว่งตัวในช่วง 1,500-1,550 จุด ส่วนข้างล่างไม่ต่ำกว่า 1,450 จุด

“หุ้นเคลื่อนไหวกระจาย ตามการประกาศงบไตรมาสที่ 2/2564 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) บางตัวกำไรที่ดีกว่าคาด ราคาก็จะเด้งขึ้น เช่น SCC ประกาศกำไรและจ่ายเงินปันผลสูงถึง 8.50 บาท/หุ้น ขณะที่ตลาดคาดไว้ที่ 6.50-7 บาท ส่วนหุ้นที่ราคาขึ้นมาก่อน เมื่อกำไรออกมาก็มีการขายทำกำไร แต่เชื่อว่าตลาดคงไม่แย่เหมือนเมื่อตอนที่ประกาศล็อกดาวน์ประเทศครั้งแรก ตอนนั้นดัชนีดิ่งลงแรงมากไปต่ำสุดแตะ 969 จุด ก่อนจะดีดกลับมาปิดที่ 1,128 จุด เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2563 แม้ว่าขณะนี้ตัวเลขโควิดจะแย่ลง แต่วัคซีนก็มาเรื่อยๆ ทำให้ป่วยแต่อาการไม่หนัก จำนวนคนตายจะต่ำ”อาภาภรณ์กล่าว

ส่วนกรณีที่นักลงทุนเมินหุ้นธนาคารพาณิชย์ กดดันให้ราคาหุ้นแบงก์ใหญ่ปรับตัวลงมามาก “อาภาภรณ์”กล่าวว่าธปท.ผ่อนปรนให้หนี้ไม่ต้องจัดชั้น ทำให้ไม่ต้องตั้งสำรองมาก ขณะที่ NPLs เพิ่มขึ้น แต่คงขึ้นไม่รุนแรงเพราะทุกฝ่ายระมัดระวัง  สินเชื่อที่เติบโตมาจากการเพิ่มสภาพพคล่องให้กับลูกค้า ธุรกิจยังไปได้ระยะยาว เหมาะกับการซื้อเพื่อลงทุน  แต่ไม่ต้องรีบ คาดธนาคารกสิกรไทย ( KBANK ) มีโอกาสลงไปเคลื่อนไหวบริเวณ 85 บาท เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงเทพ(BBL)

“บล.ดีบีเอสฯให้ KBANK เป็น top Pick มีข้อดีเรื่องดิจิทัล แบงก์กิ้งโดดเด่น ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจอนาคต ส่วน BBL มีมูลค่าถูก สัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) เพียง 0.40 เท่า ขณะที่ KBANK เทรดที่ P/BV 0.6 เท่า และ P/E 7 เท่า”อาภากรณ์กล่าว

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ 16 รายให้ราคากลาง KBANK ที่ระดับ 163 บาท และ BBL 155 บาท

“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงเดือน ส.ค.2564 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ ปัจจัยกดดันหลักมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ และการเพิ่มมาตรการคุมเข้มจากทางภาครัฐ ซึ่งประเมินว่าจะกระทบต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางเดือน หรือปลายเดือน ส.ค. คาดกรอบเคลื่อนไหวของดัชนีประเมินแนวรับแรกที่ 1,500 จุด และ 1,470 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,570 จุด

นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยกดดันมาจากการทยอยปรับลดประมาณการกำไรบจ.ปี 2564 โดยกลุ่มที่เติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) มีแนวโน้มจะถูกปรับประมาณการลง ส่วนหุ้น KBANK และBBL โอกาสจะหลุด 100 บาทตามสภาวะตลาด เนื่องจากเป็นแค่แนวรับทางจิตวิทยา แต่แนวรับหลักอยู่ที่ประมาณ 98 บาท รวมถึงหุ้น PTT, PTTGC และ PTTEP ก็ปรับตัวลงตามตลาดหรือข่าว โดยสามารถทยอยสะสม เพื่อลงทุนระยะยาวได้

ขณะที่การลงทุนหลักในเดือน ส.ค. แนะนำซื้อหุ้นรายตัวที่แนวโน้มกำไรดี เนื่องจากเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบการ โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ CHG, BCH และ EKH กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ HANA และ KCE และกลุ่มเดินเรือ SONIC และ TTA

“ตลาดยังต้องเจอกับปัจจัยลบที่รออยู่  การเลือกหุ้นรายตัว เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ  หุ้นที่แนะนำเราคาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี ส่วนปัจจัยบวกของตลาดจะมีก็ต่อเมื่อ ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง มีการคลายล็อกดาวน์ และมีการกระจายวัคซีนที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการประชุมเฟดในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ ว่าจะมีการพูดถึงการใช้มาตรการ Tapering QE หรือไม่  ถ้ามีการพูดถึง อาจจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดอีกขาหนึ่ง” วีระวัฒน์ กล่าว

ด้าน”ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงายวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงยังมีอยู่ มองว่าตลาดเดือน ส.ค.ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากการประชุมเฟด อาจจะเริ่มส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ลง ตลาดอาจจะเคลื่อนไหวผันผวน ส่วนปัจจัยในประเทศมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระดับสูง และโอกาสในการต่อระยะเวลาล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีก  จะทำให้เงินทุนไหลออก และมีโอกาสที่จะปรับลดลงประมาณการกำไรบจ.ปี 2564 อีกครั้ง

” การเข้าสู่การรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ถึงแม้ว่าโดยรวมจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ระวังกับดักผลประกอบการ เนื่องจากในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงช่วงไตรมาส 3 ตัวเลขการแพร่ระบาดโควิดเพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของผลประกอบการไตรมาส 3 อาจจะมีแรงกดดัน อาทิ กลุ่มธนาคาร โดนแรงกดดันจากการปรับลด GDP และเงินทุนไหลออก โดยหุ้น KBANK และBBL มีโอกาสที่จะหลุด 100 บาท ซึ่งเป็นแค่แนวรับทางจิตวิทยา ส่วนแนวรับหลักจริงๆอยู่ที่ 97 และ 95 บาทตามลำดับ ซึ่งโอกาสในเข้าซื้อคือการเห็นสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่าตัวเลขผู้หายป่วย” ภราดร กล่าว

ส่วนกลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ผลประกอบการดีเป็นปัจจัยหลัก และต้องมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวด้วย โดยหุ้นที่มีโอกาสจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และผลตอบแทนดี แนะนำ MCS, TMT และTVO ส่วนหุ้นที่โดนผลกระทบจากโควิด-19 จำกัด แนะนำ GPSC, DOHOME และJ MART

บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มองดัชนีพักอยู่ในบริเวณ 1,520-1,500 จุด แล้ว เป็นจุดซื้อรายตัวที่น่าสนใจขึ้น โดยการพักตัวลงสู่ 1,517 จุด แล้วดีดตัวเป็นการ Rebound ระดับ 5-30 นาที มีกรอบการดีดตัวที่คาดหวังสั้นๆ 1,528/1,535 จุด

กลยุทธ์ เลือกซื้อรายตัว ในธีม

1) 2H21 Stock Picks : ADVANC, KCE, SAT, AMATA, BDMS, GPSC, GULF, CRC, TIDLOR ส่วน Mid-small Cap : PM, ICHI, SAPPE

2) พลังงานทางเลือกเด่นรับ การปล่อยน้ำอย่างต่อเนื่องของจีน หนุนรายได้โรงไฟฟ้าพลังน้ำของ BCPG, GPSC และเก็งกำไร CKP

3) กลุ่มโรงพยาบาลที่ฐานกำไรโตดี BDMS, BCH, CHG, EKH

4) กลุ่มปันผลสูง ADVANC, TVO และจับตากลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2564 ดีทั้งกลุ่ม ปันผลจะสูง เน้นเก็งกำไร

5) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า ทุกๆ 1 บาท บวกต่อเกษตรอาหาร กำไรสุทธิเพิ่ม 3-1% TU, CPF, ASIAN, NER, XO, SAPPE กลุ่มชื้นส่วนฯ กำไรสุทธิเพิ่ม3-2% SVI, HANA, KCE กลุ่มนิคม AMATA กลุ่มวัสดุก่อสร้าง EPG +3%

6) TOP ราคาหุ้นลงลึกเกิน Price Dilute ที่ประมาณ 2-5%