HoonSmart.com>> นักวิเคราะห์ประสานเสียงราคาน้ำมันดิบดิ่งแค่พักฐานสั้น บล.หยวนต้า คาดแกว่งในกรอบ 70-72 เหรียญ กลุ่มปตท.รอพลิกกลับ เตือนไม่ซื้อหุ้นได้ดีจากต้นทุนลดลง เพราะรับข่าวไปแล้ว ชอบไฟฟ้า BCPG-BPP ส่วนบล.โนมูระฯ แนะซื้อ SCC-TOA-EPG เก็งกำไร TASCO โรงไฟฟ้าชอบ GPSC-GULF บล.เมย์แบงก์ แนะซื้อ SCC-EPG กำไรดี มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว บล.เคทีบีเอสทีเชียร์ TOP เป้า 72 บาท บล.บัวหลวงตีมูลค่า 68 บาท ค่าการกลั่นฟื้นครึ่งปีหลัง บล.ดีบีเอสคาด PTTEP-PTT เหนื่อย
ราคาน้ำมันดิบกระแทกลงแรงถึง 7-8% ซื้อขายต่ำกว่า 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากที่ประชุม OPEC+ เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2564 มีมติเพิ่มกำลังการผลิตรวม 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และความกังวลผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้หุ้นพลังงานและปิโตรเคมี ร่วงลงแรงอย่างต่อเนื่อง หุ้นครอบครัวปตท.ร่วงยกแผง รวมถึงแรงขายหุ้นธนาคาร กดดันดัชนีไหลลงปิดที่ 1,538.86 จุด -17.15 จุดหรือ -1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 92,956.58 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันทิ้งรุนแรง -5,410.89 ล้านบาท ต่างชาติขายเพียง 811 ล้านบาท นักลงทุนไทยซื้อ 5,160 ล้านบาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบเข้าสู่ช่วงพักฐานระยะสั้น ปัจจัยกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบสำเร็จรูปที่คาดการณ์ไว้ และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็น 3.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่ 3.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบช่วงสั้นยังอยู่ในกรอบ 70-72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
“หุ้นที่ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบพักฐาน ก็คือหุ้นที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุน มาร์จิ้นดีขึ้น อาทิ TASCO, SCC และ EPG แต่เราไม่ได้แนะนำให้ลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นมาพอสมควรแล้ว ถ้าหากราคาน้ำมันดิบพลิกกลับขึ้นมา ตามความต้องการที่มากขึ้น หลังกิจกรรมต่างๆกลับมาเปิดอีกครั้ง กลุ่มพลังงานได้ประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่ม ปตท. ” นายณัฐพล กล่าว
สำหรับหุ้นเด่นช่วงนี้ มองว่ากลุ่มโรงไฟฟ้ามีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นหุ้นที่ปลอดภัย และคาดผลประกอบการไตรมาส 2/2564 จะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นแหล่งพักเงินระยะสั้น ในช่วงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกปรับตัวลดลง แนะนำ BCPG และ BPP
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบเริ่มพักฐานลงในระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ กรอบ 70-72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐที่ราคาน้ำมันลง จะมีผลเชิงบวกต่อหุ้น SCC ทำให้ต้นทุนลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ,TOA คาดว่า กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว 0.5% ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ,TASCO ช่วยให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (Margin Spread) กว้างขึ้น และ EPG เมื่อเทียบกับสมมติฐานทุก 1 เหรียญฯที่ลดลง จะหนุนอัตรากำไรเพิ่มขึ้น 0.03% และส่งผลบวกต่อฐานกำไร +2%
สำหรับกลยุทธ์แนะนำซื้อลงทุน SCC ที่ราคาเป้าหมาย 494 บาท จากฐานกำไรที่ดีมาก และอยู่ในจุดซื้อลงทุนรองรับการเติบโตในอนาคต , TOA ราคาเป้าหมาย 41 บาท แนวโน้มกำไรจากการดำเนินการไตรมาส 2 โดดเด่น และคาดว่าครึ่งปีหลังปรับเพิ่มราคาขายช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้น , EPG ราคาเป้าหมาย 14.3 บาท จากกำไรไตรมาส 2 คาดว่าเติบโตเด่น และแนะเก็งกำไรสั้นๆ (Trading) ในหุ้น TASCO
ขณะที่กลุ่มพลังงาน กำไรอาจจะลดลง ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่เป็นหุ้นปลอดภัย แนะนำ GPSC และ GULF โดย 2 หุ้นนี้ มีมูลค่าราคาหุ้น (Valuation) ปรับตัวลดลงพอสมควร , การปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีหลังมีน้อย และฐานทุนแข็งแกร่ง พร้อมขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างปรเะเทศ ตามกระแส EV ที่มีมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่าการปรับลดของราคาน้ำมนันดิบเป็นการพักฐานสั้นๆ หลุด 70 เหรียญสหรัฐ ให้แนวรับสำคัญคือ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ แนะนำ SCC และ EPG คาดว่ากำไรคาดว่าจะออกมาดีด้วย
ด้านบล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อราคาน้ำมันดิบทรุดลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์/บาร์เรล เชื่อว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันของรายใหญ่ เช่น สหรัฐ และยุโรปจะมีผลกระทบจำกัด เพราะไม่ได้ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ จึงคงน้ำหนักการลงทุน”มากกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน แต่มีมุมมองเชิงระมัดระวังมากขึ้นต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้า
” เรายังชอบ TOP แนะซื้อเป้า 72 บาท ยังเชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากประมาณการอุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลกที่จะกลับมาโตสูงกว่าอุปทานที่จะเพิ่มขึ้น แต่เรามีมุมมองเชิงระมัดระวังมากขึ้นต่อความเร็วของการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันที่อาจจะช้าลง หากมีการประกาศล็อกดาวน์ของประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ในอนาคต”บล.เคทีบีเอสที
บล.บัวหลวงคาดแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นำโดยทวีปอเมริกาและยุโรป น่าจะเป็นปัจจัยหนุนค่าการกลั่นและหุ้นโรงกลั่นได้ต่อไป จึงยังคงแนะนำซื้อ TOP ราคาเป้าหมาย 68 บาท และชอบ IVL มากที่สุด แนะเก็งกำไร SPRC ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) วิเคราะห์ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงแรง มองเป็นข่าวลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTTEP ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงรองลงมาเป็น PTT ที่ถือหุ้น PTTEP 63.79% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศที่ได้รับวัคซีนโควิดสูงจนมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว อาจถูกกระทบจากโควิดระลอกใหม่ไม่มาก แม้มีผู้ติดเชื้อรายวันสูงขึ้น เพราะอัตราการเสียชีวิตต่ำลงมาก และผู้ผลิตเร่งพัฒนาวัคซีนรองรับโควิดกลายพันธุ์
ส่วนการวิเคราะห์เทคนิค PTTEP ระยะสั้นมีแนวรับ 105-100, 96 บาท ส่วน PTT มีแนวรับระยะสั้น 35+/- บาท