HoonSmart.com>> “พีทีที โกลบอลฯ” คาดครึ่งปีหลังโตต่อ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ดีขึ้น คาดราคาน้ำมันดิบครึ่งหลังที่ 60-64 เหรียญ โรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ เพิ่มกำลังการผลิต 7.5 แสนตันต่อปี เดือนพ.ค. ส่วนโรงพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง คาด COD ปี 65 เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นขายหุ้น GPSC ให้ PTT-SMH ปรับพอร์ต รุกธุรกิจเคมิคอล เตรียมซื้อหุ้น VNT เพิ่มอีก 75.02% เพิกถอนออกจากตลาด คาดแล้วเสร็จไตรมาส 4/2564 ใช้เงิน 7 พันล้านบาท
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTEP) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ความต้องการผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก แต่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์โดยรวมอาจจะถูกกดดัน เนื่องจากอุปทานส่วนเกินที่จะเข้ามา ส่วนผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง คาดว่าราคาจะปรับตัวดีขึ้นต่อจากปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ดีขึ้น คาดอยู่ในกรอบ 60-64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่โรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ โดยใช้แนฟทาและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นวัตถุดิบหลัก โดยมีกำลังการผลิตเอมิลีนต่อปีอยู่ที่ 500,000 ตัน และโพรพิลีนอยู่ที่ 250,000 ตันต่อปี คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน พ.ค.2564 นี้ ส่งให้กำลังการผลิตโอเลฟินส์รวม เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,738,000 ตันต่อปี จากเดิมที่ 2,988,000 ตันต่อปี
ส่วนโครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้แก่บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ คาดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2565
บริษัทยังมีแผนเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 7 มิ.ย.2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการปรับโครงสร้าง ในการขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวนรวม 358,936,756 หุ้น หรือ 12.73% ให้แก่ บริษัท ปตท. (PTT) จำนวน 305 ล้านหุ้น และ บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้ง (SMH) อีก 53,936,756 หุ้น
“การขายหุ้น GPSC เพื่อเป็นการปรับพอร์ตของเราเอง และให้ความสำคัญในการที่จะมุ้งเน้นไปขยายการลงทุนที่เป็นเคมิคอลเพิ่มมากยิ่งขึ้น ตามเป้าหมายที่จะเป็น Chemical Flagship ของกลุ่ม ปตท. เราจะลดสัดส่วนธุรกิจ Non-Chemical เพื่อให้ภาพรวมครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำมากยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาการลงทุนในธุรกิจ High Value Business” นายจิตศักดิ์ กล่าว
เป้าหมายการปรับกลยุทธ์ที่มุ้งเน้นธุรกิจเคมิคอลมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้มีความมั่นคงทางธุรกิจค่อนข้างสูง ในช่วงโควิด-19 ในปีก่อนความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างคงที่ ซึ่งในปัจจุบันมีสัดส่วนธุรกิจดังกล่าวประมาณ 10% โดยตั้งเป้าในปี 2573 จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคง และรักษาความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้บริษัทได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท วีนิไทย (VNT) จำนวน 889,154,755 หุ้น หรือ 75.02% (โดยไม่นับรวมกับหุ้นเดิมที่บริษัทฯถืออยู่ 24.98%) เพื่อเพิกถอนหุ้น VNT ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 4/2564 โดยใช้เงินประมาณ 7,000 ล้านบาท
นายจิตศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเข้าถือหุ้น VNT เพิ่มเติม จะเป็นการบูรณาการของธุรกิจ PVC ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ อาทิเช่นการที่ PVC ใช้วัตถุดิบคือ เอทิลีน ของบริษัทฯ ไปต่อยอดในการทำ PVC ทำให้ VNT กลายเป็นผู้นำอันดับต้นๆในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงยังมีความร่วมมืออีกมากในอนาคต กับผู้ถือหุ้นใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น อย่าง AGC Inc. ทำให้ในอนาคตจะมีโอกาสในการร่วมมือกันทางธุรกิจอีกมาก