BCPG กำไรโค้งแรก 523 ลบ. รายได้เติบโต 18%

HoonSmart.com>> “บีซีพีจี” ไตรมาสแรก ปี 64 กำไร 523 ล้านบาท ลดลง 8.8% รายได้รวมเพิ่มขึ้น 18% รับรู้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3B เต็มไตรมาส หนุนกำไรสุทธิการดำเนินงานแตะ 488 ล้านบาท เติบโต 21.1%

บริษัท บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2564 กำไรสุทธิ 523.35 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.20 บาท ลดลง 8.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 573.69 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.29 บาท

ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติมีจำนวน 489 ล้านบาท เติบโต 21.1 % จากไตรมาส 1/2563 สาเหตุหลักมาจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเดิมที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโครงการใหม่เข้ามาช่วยเสริม ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18.1% จากไตรมาส 1/2563

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากไตรมาส 1/2563 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.0% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการใหม่ ได้แก่ 1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ใน สปป.ลาว ที่เข้าซื้อในเดือน ก.พ.2563

2) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 20 เมกกะวัตต์ จำนวน 4 โครงการ ที่ เข้าซื้อในเดือน ส.ค.2563 รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ“Nam San 3A” สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าความเข้มแสง และจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตามลำดับ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง

“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมลงทุน กับบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น (Digital Solution) ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นด้านพลังงานอัจฉริยะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และขยายฐานการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง สร้างเสียรภาพของรายได้ และความสมดุลของประเภทโรงไฟฟ้า ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก “ทริส เรทติ้ง” ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนจากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และสัดส่วนการลงทุนที่มีการกระจายตัวของแหล่งพลังงานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างรายได้จากโครงการใหม่เพื่อชดเชยรายได้จาก Adder ที่ทยอยลดลง และยังมีโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการได้รับเครดิตดังกล่าวจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้แหล่งใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความพร้อมการลงทุนในอนาคต” นายบัณฑิตกล่าว

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ฺBCPG รายงานกำไรปกติไตรมาส 1/2564 ที่ 489 ล้านบาท (+21% y-y, -9%q-q) ดีกว่าเราคาด 21% หลักๆจากผลกระทบการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพไม่แย่อย่างที่คาด โดยกำไรสุทธิที่ 523 ล้านบาท (-9%y-y, +68%q-q) และรายได้ 1,047 ล้านบาท (+18%y-y, -8%q-q) โดยกำไรปกติเพิ่มขึ้นสูง y-y จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีอัตราการผลิตมากกว่าปีก่อนอย่างมีนัยฯจากฝนที่มากกว่าปกติ (C.F. 27.7% vs 1Q20 ที่ 18.2%) และจาก Solar farm 20 MW (ซื้อใน 3Q20)

ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BCPG ด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 2564 ที่ 17.00 บาท โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถหาโครงการใหม่ได้ตามแผนการลงทุนในปีนี้ที่สูงถึง 18,000 ลบ. (รวมในประมาณการแล้ว 12,000 ล้านบาท) ทำให้ประเมินกำไรปี 21F โตสูง +30%y-y มาชดเชย dilution จากการเพิ่มทุนและสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยปัจจุบัน BCPG มีโครงการที่ COD แล้ว 474 MW และอยู่ใน pipeline อีก 386 MW

โดยเรา