KKP เพิ่มเป้าเติบโตสินเชื่อปีนี้ 15%-ไตรมาส 4 รุกพาลูกค้าลงทุนตปท.

KKP เพิ่มเป้าหมายขยายสินเชื่อปีนี้เป็น 15% หลังจากครึ่งปีแรกทำตามเป้าหมายทั้งปีที่ 10% เรียบร้อยแล้ว เผยดอกเบี้ยในตลาดเริ่มขยับไม่รอดอกเบี้ยนโยบาย

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ในปีนี้เพิ่มเป้าหมายการขยายสินเชื่อเป็น 15% หลังจากครึ่งปีแรกสามารถขยายสินเชื่อได้ 10.2% ตามเป้าหมายทั้งปีที่ 10% เรียบร้อยแล้ว โดยสินเชื่อทุกประเภทขยายตัวได้ดี ยกเว้นสินเชื่อลอมบาร์ดที่เติบโตเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนมีสภาพคล่องสูงและมีทางเลือกในการ Leverage อื่น เช่น Block Trade

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ (ขวา) ชวลิต จินดาวณิค (ซ้าย)

ทั้งนี้ สินเชื่อที่เติบโต 10.2% แบ่งเป็น
สินเชื่อเพื่อการบริโภค หรือ สินเชื่อรายย่อย 24%
สินเชื่อธุรกิจ 12%
สินเชื่อบรรษัท 39%
สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ 18%
โดยมี NIM อยู่ที่ 7.2% เนื่องจากมีต้นทุนการเงินต่ำที่ 2.3%

“แม้ว่าครึ่งปีแรกจะทำได้ตามเป้าหมายแล้ว แต่เรายังต้องทำงานหนักต่อไป แต่จะเติบโตอย่างระมัดระวัง ไม่เติบโตมูมมาม ไม่แข่งกันคนอื่นจนทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น” นายอภินันท์ กล่าว

นายอภินันท์ กล่าวอีกว่า ในตลาดสินเชื่อเริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แม้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ KKP จะไม่เป็นผู้นำในการปรับเพิ่มดอกเบี้ย เพราะจะเลือกทำธุรกิจในกลุ่มที่เลือกแล้วว่าจะไม่ขาดทุนโดยไม่ต้องปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

“เราต้องระวัดระวัง เพราะสินเชื่อส่วนใหญ่ของเราเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยคงที่ เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับเพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรลดลง ซึ่งเปรียบเหมือนกับในเวทีรำวงที่ไม่รู้ว่าจะมีใครมายกโหลยาดองออกไปเมื่อไร” นายอภินันท์ กล่าว

ทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายที่จะปรับลดสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้เหลือ 4% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่ลดลงมาเหลือ 4.5%

“จะเห็นได้ว่า การควบคุมคุณภาพสินเชื่อทำได้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่ก่อนเริ่มปล่อยสินเชื่อไปจนถึงการติดตามหลังจากปล่อยสินเชื่อไปแล้ว เพราะแม้จะมีสัดส่วนการขยายสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วจะสูงถึง 60% แต่ไม่ได้ทำให้ NPL ของสินเชื่อเช่าซื้อโดยรวมเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ นายอภินันท์ กล่าวถึงธุรกิจ Wealth Management ว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ มีแผนที่จะเปิดบริการการลงทุนต่างประเทศ (Offshore Investment) โดยร่วมกับ Investment Bank และ Asset Management ต่างประเทศประมาณ 10 แห่ง เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากสนใจการลงทุนต่างประเทศ

“คาดหวังว่าหลังจากเพิ่มบริการการลงทุนต่างประเทศจะทำให้สินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ (AUA) เพิ่มเป็น 6-7 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4.59 แสนล้านบาท จำนวนลูกค้ามากกว่า 10,000 ราย ซึ่งที่ผ่านมาเติบโตปีละ 20-30% มาโดยตลอด” นายอภินันท์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอภินันท์ กล่าวว่า ความได้เปรียบของ KKP ในการให้บริการการลงทุนต่างประเทศ คือ ทีมวิจัยลูกค้าบุคคล (CIO Office) และนำเสนอต่อลูกค้าแต่ละรายโดยทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Consultant) และทีมที่ปรึกษาวางแผนการลงทุน (Investment Advisor) ที่ดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด

พร้อมกันนี้ KKP ยังยกระดับสาขาธนาคารให้เป็น Financial Hub หรือศูนย์บริการทางการเงินครบวงจรที่สามารถให้บริการในด้านการลงทุนให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันมี 3 สาขา คือ เซ็นทรัลเวิลด์ ทองหล่อ และเยาวราช

นายอภินันท์ ยังกล่าวถึงธุรกิจสินเชื่อบรรษัท ธุรกิจตลาดการเงิน และธุรกิจวานิชธนกิจ ของ KKP ยังเติบโตก้าวกระโดดจากการผสานความร่วมมือและบูรณาการอย่างเป็นผลระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากสินเชื่อที่เติบโตกว่า 60% และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

นายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวถึงผลการดำเนินงานงวด6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัทย่อยว่า มีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้แก่ บล.ภัทร และ บลจ.ภัทร จำนวน 824 ล้านบาท

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% และรายได้อื่น 1,160 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 8,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปี 2560

ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16.27% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 12.72% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2 ปีนี้​ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.35% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.80%