“ASW” ยกระดับขึ้นท็อปเทนหุ้นอสังหาฯ โบรกมองราคา 11.20-11.60 บ.

HoonSmart.com>>”แอสเซทไวส์” ปักธง 3-5 ปี  มาร์เก็ตแคปยกระดับขึ้นท็อปเทนหุ้นอสังหา ฯ โบรกเกอร์ให้เป้าหมาย 11.20-11.60 บาท

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์

ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 แต่หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมีสัญญาณดี ๆ ให้ได้เห็น โดยเฉพาะมาตรการของภาครัฐ ที่พยายามช่วยสนับสนุนและกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้บรรดาโบรกเกอร์ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มหันมาสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น

ถือเป็นจังหวะที่ดีของ บริษัท แอสเซทไวส์ (ASW) ซึ่งดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding company มีบริษัทย่อยทั้งหมด 15 บริษัท ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ…We Build Happiness”

โดยมีธุรกิจหลัก เป็นธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประเภทแนวราบ จำนวน 12 บริษัท และบริษัทย่อยอีก 3 บริษัท ประกอบธุรกิจอื่น ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขาย ซึ่ง ASW กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 28 เม.ย.นี้

ASW  เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท ราคาหุ้นละ 9.82 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 19-21 เมษายน 2564   ได้รับผลตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างคึกคัก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพการเติบโตในอนาคตที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างโดดเด่น

รวมทั้งมีความมั่นใจว่า ASW จะบรรลุเป้าหมายอีก 3 ปีข้างหน้า จะยกระดับเป็นหุ้นอสังหาฯรายใหญ่ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ติดอันดับ 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

“กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอสเซทไวส์ (ASW) กล่าวว่า เมื่อบริษัทฯ เข้าระดมทุนใน SET แล้ว  ทำให้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ต้นทุนทางการเงินลดลง ยกระดับชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับประเทศ เพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่องได้

“เราได้ตั้งเป้าหมายระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และคาดหวังว่า บริษัทฯ จะมีขนาดของมาร์เก็ตแคป ติดอันดับท็อปเทนของกลุ่มหุ้นอสังหาฯ ปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญคือ โครงการในมือที่มีอยู่ปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งช่วยสร้างรายได้และความแข็งแกร่งให้กับ ASW

ปัจจุบันมีโครงการในมือทั้งหมด 33 โครงการ มูลค่า 30,420 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแล้วเสร็จ 25 โครงการมูลค่า 19,043 ล้านบาท , โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดขาย 8 โครงการ มูลค่า 11,377 ล้านบาท และมีอีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 21,202 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการในอนาคตที่จะเปิดขาย และพัฒนาในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า” กรมเชษฐ์กล่าว

อีกทั้งเชื่อว่า  จะฝ่าโควิด-19 ระลอก 3 ไปได้เช่นกัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา บริษัทยังทำผลประกอบการดีเยี่ยม มีกำไรสุทธิกว่า 871 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 20% และปีนี้คาดว่า จะทำได้ดีต่อเนื่อง เพราะเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯจะพยายามรักษาอัตราการทำกำไรระดับสูงไว้ เพื่อทำผลประกอบการให้เติบโตต่อเนื่อง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

จากการสำรวจบทวิเคราะห์ ที่มีการประเมินราคาที่เหมาะสม ตามปัจจัยพื้นฐานของ หุ้น ASW ในปี 2564 อยู่ที่ 11.20-11.60 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นไอพีโอที่ได้เสนอขายไป

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)  มองว่า ASW เป็น โครงการอสังหาฯ ที่กําไรดี เพราะใส่ใจทุกรายละเอียด และประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 11.60 บาท โดยอิงเป้าหมาย Forward PE 8 เท่า โดยเป็นระดับ Forward PE ที่ Discount จากค่าเฉลี่ยกลุ่มอสังหาฯราว25% (ฝ่ายวิจัยฯจัดทำบทวิเคราะห์อยู่รวม 7 บริษัท มี Forward PE เฉลี่ยที่ 10.8 เท่า)

คาดการณ์กำไรปีนี้ ยังสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมโดยรวมยังซบเซา และคาดกําไรปี2564 แตะระดับ 1.1 พันล้านบาท เป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทฯ ต่อเนื่องจากปี 2563 ซึ่งทํากําไรไว้ราว 874 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลโครงการในปัจจุบัน ประเมินแนวโน้มกําไรปี 2565 จะเติบโตราวเพิ่มขึ้น 6.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่เชื่อว่ายังมี Upside หาก บริษัทฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม ภายหลังเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นเป็นลําดับ และอัตรากําไรขั้นต้น ทําได้ดีกว่าสมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยม ที่เราใช้ในการจัดทําประมาณการ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า ASW จะเป็นดาวรุ่งกลุ่มอสังหาฯ โดยมีราคาเหมาะสมเท่ากับ 11.20 บาท อิง P/E 8.0 เท่า ซึ่งใช้ P/E สำหรับในการประเมินมูลค่าหุ้น ASW โดยเลือกหุ้นอสังหาฯ ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายบ้านและคอนโด และมี Market Cap มากกว่า 7 พันล้าน ใน SET มาเทียบเคียงโดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.0 เท่า  เมื่อคำนวณกับประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 1.4 บาท ณ สิ้นปี 2564 จะได้มูลค่าพื้นฐานที่ 11.20บาท และที่ราคานี้ P/BV (เท่า) จะอยู่ระดับ 1.6 เท่า Dividend yield จะอยู่ที่ 5.6%