HoonSmart.com>>ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศที่ยังสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 2.91% ขณะเดียวกันรัฐบาลเวียดนาม มีแผนจะส่งเสริมการเป็นฮับอุตสาหกรรมผลิตของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก จึงมี นโยบายสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีบริษัทในต่างประเทศสนใจเข้าไปลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการของไทย ซึ่งมองเห็นโอกาสการเข้าไปลงทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจ ช่วยผลักดันการเติบโตในอนาคตให้ก้าวกระโดด
เช่นเดียวกับ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งวางเป้าหมายต้องการก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในธุรกิจด้านการผลิตสายไฟฟ้า เคเบิ้ล ตลอดจนการให้บริการภาคอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร
ปัจจุบัน STARK มีบริษัทย่อยที่เป็นธุรกิจหลัก คือ เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล ที่ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 5 ทศวรรษ และเป็นที่ยอมรับทั้งในตลาดในภูมิภาคและในต่างประเทศกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโต ช่องทางการตลาด ความสามารถทำกำไรที่จะเติบโตในระดับเท่าตัว
จึงตัดสินใจเข้าลงทุนซื้อหุ้นของ Thinh Phat Cables Joint Stock Company (Thipha Cables) และ Dong Viet Non-Ferrous Metal And Plastic Joint Stock Company (Dovina) ณ เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ในสัดส่วน 100% ของหุ้นทั้งหมด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ Thipha Cables ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลไฟฟ้า ซึ่งจัดจำหน่ายภายในประเทศเวียดนามและต่างประเทศในภูมิภาค ส่วน Dovina ประกอบธุรกิจนำเข้าและแปรรูปทองแดงและอลูมิเนียม สำหรับนำไปผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลไฟฟ้า ซึ่ง Dovina จำหน่ายทองแดงและอลูมิเนียมแปรรูปให้กับ Thipha และลูกค้าภายนอก
การเข้าลงทุนเวียดนามครั้งนี้ ในช่วงระยะเพียงไม่นาน สะท้อนผลประโยชนที่ได้จากการเข้าไปลงทุนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนการผลิตลดลง เนื่องจากเมื่อรวมคำสั่งซื้อทั้ง 2 ประเทศ ความต้องการซื้อวัตถุดิบการผลิตจำนวนมาก ทำให้มีอำนาจต่อรองที่ดีขึ้น
ระยะเวลาของการชำระเงินยาวขึ้น ค่าใช้จ่ายการขนส่งลดลง การตลาดขยายตัวมากขึ้น สามารถส่งออกได้หลายประเทศมากขึ้น และทำให้ “เฟ้ลปส์ ดอด์จ” มียอดขายและมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลมาจากสงครามการค้าของจีน-สหรัฐฯ ยังทำให้ STARK มีช่องทางการตลาดใหม่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยสามารถส่งสายไฟแบบอลูมิเนียมเข้าไปขายผ่านทางพาร์ทเนอร์อีกด้วย
โดยหลังจากเข้าลงทุนในเวียดนามเพียงจำนวน 9 เดือน ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,608.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,198.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 123.92 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,858.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,528.85 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นยอดรับรู้รายได้ที่เกิดจากเครื่องจักรยังเดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทีมวิศวกรเข้าไปถ่ายทอดเทคโนโลยี และบูรณาการ 2 โรงงานไทย-เวียดนามเข้าด้วยกันยังทำได้ไม่เต็มที่นัก แต่จากนี้ไปเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ประสิทธิภาพการทำงานก็จะสูงขึ้นกว่าเดิมช่วยผลักดันการเติบโตได้อย่างแน่นอน
สำหรับในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้อยู่ที่ประมาณ 15-20% จากปีก่อน และคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เนื่องจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรม และเมื่อโรงงานเวียดนามเดินเครื่องจักรได้เต็มปี ก็จะช่วยสนับสนุนให้ STARK บรรลุเป้าหมายได้
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ลรวม 2.2 แสนตันต่อปี แบ่งเป็นไทยและเวียดนามสัดส่วน 50% เท่ากัน ซึ่งไทยใช้กำลังการผลิตไป 60-70% ส่วนเวียดนามใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 40-45% เท่านั้น อีกทั้งมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) โดยรวมอยู่ที่ 8,400 ล้านบาท เป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก
กลยุทธ์หลัก ที่จะใช้ผลักดันการเติบโตจากนี้ไป STARK จะมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin เช่น สายไฟฟ้าประเภท Medium / High / Extra High Voltage ที่มีความต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสายไฟสำหรับระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Photovoltaic cable) ที่ได้มาตราฐานระดับโลก
ตลอดจนการพัฒนาสายเคเบิ้ลใต้น้ำ (Submarine cable) ที่มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากจากโครงการพลังงานทดแทนต่าง ๆ เช่น กังหันลม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่ติดตั้งในทะเล (Offshore wind farm) แผงโซลาร์เซลล์บนโครงสร้างที่ลอยอยู่ในน้ำ (Floating solar) ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญ ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานในไทย และเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าระดับ top 10 ของโลกต่อไป