อเบอร์ดีนฯ มอง ‘หุ้นเล็ก’ เทิรน์ อะราวด์ ชี้ราคาถูกทั่วโลกจังหวะเข้าลงทุน

HoonSmart.com>> บลจ.อเบอร์ดีน ชี้จังหวะลงทุนหุ้นขนาดเล็กทั่วโลก ราคาถูกกว่าหุ้นขนาดใหญ่ รับโอกาสเทิร์น อะราวด์ เพิ่มทางเลือกกระจายพอร์ตลงทุน รับเศรษฐกิจโลกปีนี้โตแรงและเร็วกว่าคาด หลังวัคซีนมาเร็ว สหรัฐฯ เร่งฉีดประชาชนหนุนกิจกรรมเศรษฐกิจผลักดันเศรษฐกิจโลก จังหวะลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง หุ้น ด้านดอกเบี้ยยังต่ำทั่วโลก มองฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่และไทยไตรมาส 3 นี้

โรเบิร์ต เพนนาโลซา

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด โกลบอล สมอลแค็พ ฟันด์ (ABGS-A) ซึ่งเป็นกองทุนแรกของบริษัทฯ ในปี โดยเน้นลงทุนหุ้นขนาดเล็กทั่วโลก เพื่อมาตอบโจทย์การกระจายความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนในประเทศไทย โดยคัดสรรหุ้นคุณภาพ โอกาสเติบโตสูง โดยใช้นวัตกรรม Quant (The Matrix Model) คัดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ พร้อมศึกษาเชิงลึกด้านคุณภาพการเติบโตและยั่งยืนในระยะยาว

นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันราคาหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ทั่วโลกปรับตัวลงมาต่ำกว่าราคาหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ค่อนข้างมาก ซึ่งมองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนหลังราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว ขณะที่หุ้นขนาดเล็กยังมีแนวโน้มสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะยาวด้วยระดับราคาที่เหมาะสม

“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาหุ้นขนาดเล็กสร้างผลตอบแทนชนะหุ้นขนาดใหญ่ โดยทำได้ 458% ขณะที่หุ้นใหญ่อยู่ที่ 230% แต่ในช่วงเกิดวิกฤต 3 ปีที่ผ่านมาทำให้หุ้นขนาดเล็กปรับตัวลดลงมากจน Under Perform และราคาถูกกว่าห้นขนาดใหญ่จึงน่าสนใจเป็นหุ้น Turn Around”นายออเสน กล่าว

สำหรับกองทุน ABGS-A มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Standard Life Investments Global SICAV II-Global Smaller Companies (กองทุนหลัก) ที่จัดตั้งในลักเซมเบิร์กและบริหารจัดการโดยทีมงานที่ดูแลการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กทั่วโลกของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ในสหราชอาณาจักร โดยผู้บริหารกองทุนเลือกใช้การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นาฐานของบริษัทผนวกกับการนำเครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์มาใช้ในการคัดสรรหุ้นที่น่าที่สุด 40-50 ตัว

ด้านผลตอบแทนของกองทุนหลักในปี 2563 อยู่ที่ 34.9% แม้จะเป็นปีที่มีความผันผวนสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และตั้งแต่ตั้งกองทุน 9 ปี ผลตอบแทนชนะเบนซ์มาร์คในทุกช่วงเวลา อีกทั้งผันผวนต่ำกว่าดัชนีเบนซ์มาร์ค เนื่องจากกระจายหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจน้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยพอร์ตกองทุนหลักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 49% อังกฤษ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยน้ำหนักลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม ไอทีและคอนซูเมอร์ เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดขายกองทุนครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.-2 เม.ย.2564 ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

Kirsty Desson ผู้บริหารกองทุนหลัก กล่าวว่า ถึงแม้หุ้นขนาดเล็กจะมีสัดส่วนถึง 70% ของหุ้นทั่วโลก แต่หุ้นขนาดเล็กกลับได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์น้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้บ่อยครั้งการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของธุรกิจ จึงเป็นโอกาสทางการลงทุนของอเบอร์ดีนฯ ที่เน้นวิเคราะห์พื้นฐานแบบเชิงรุกเพื่อค้นหาธุรกิจที่มีศักยภาพให้ได้ก่อนผู้อื่นในตลาด หากมองมุมของการประเมินมูลค่าแล้ว สภาพตลาดในปัจจุบันถือว่าเป็นจุดเข้าลงทุนที่สร้างโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก

“เราเน้นให้ความสำคัญของการคัดสรรบริษัทที่มีความยั่งยืนและมีปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาวมากกว่าการลงทุนในระยะสั้น โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่างๆ เช่น การปรับกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิตอล ระบบอัตโนมัติในโรงงานและคลังสินค้า รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานและเทคโนโลยีที่สะอาดขึ้นในหลากหลายอุตสสหกรรมนั้นจะเข้ามาเปลี่ยนกระบวนการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและสร้างโอกาสการลงทุนระยะยาวได้”ผู้บริหารกองทุนหลัก กล่าว

ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวได้เร็วและสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยสหรัฐฯ และจีนเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของโลก จากปัจจัยหนุนวัคซีนมาเร็วกว่าคาด ปัจจุบันสหรัฐฯ กระจายฉีดได้เร็วมากและเป้าหมายฉีด 4 ล้านคน/วัน ภายในครึ่งปีนี้ ซึ่งจะหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาได้เร็วขึ้น เป็นแรงหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหรือตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่หุ้นขนาดเล็ก มีราคาถูกเมื่อเทียบหุ้นใหญ่จึงน่าสนใจ

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโนบายทั่วโลกคาดว่าจะทรงตัวตลอดปี ส่วนอัตราเงินเฟ้อมองว่ายังไม่ถึง 2% ในปีนี้ ส่วนฟันด์โฟลว์ประเมินว่าจะไหลเข้ามาในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และไทยน่าจะได้รับอานิสงส์ด้วย น่าจะเริ่มเห็นในไตรมาส 3 นี้ ดังนั้นหากนักลงทุนถือหุ้นไทยอยู่ก็ยังสามารถถือต่อไปได้