‘สิงห์ เอสเตท’ ทุ่ม 1.39 พันลบ. ซื้อหุ้น 30% โรงไฟฟ้า 3 แห่งกำลังผลิต 400 MW

HoonSmart.com>> “สิงห์ เอสเตท” ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมขนาดใหญ่ 3 แห่ง มูลค่าลงทุน 1,392 ล้านบาท สัญญาขายไฟฟ้าล่วงหน้าแล้วเกือบ 70% ของกำลังผลิตทั้งหมด 400 เมกะวัตต์ คาดสร้างรายได้ 7,500 ล้านบาทในปี 67

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้นสามเท่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลาสามปี

“เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่ อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน”นายจุตินันท์ กล่าว

บริษัท สิงห์ เอสเตท ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

สำหรับแห่งแรกนั้น เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วม ของบริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง โดยดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์

ส่วนแห่งที่สองและสาม เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2566 โดยจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะเริ่มขึ้นเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบริษัท สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เม.ย.2564

ก่อนหน้านี้ บริษัท สิงห์ เอสเตท ได้ประกาศว่า ปี 2564 จะเป็นปีที่สำคัญในการก้าวเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยการเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่จะมาส่งเสริมซึ่งกันและกันกับ 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นแกนหลักแต่เดิม ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่ง ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เรามีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับนั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือ การที่ไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้น ขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นราคาตามที่ตกลงกันแล้วด้วย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะสร้างรายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)” นางฐิติมา กล่าว

นางฐิติมา กล่าวต่อไปว่า อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น คาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี 2567

“การเข้าซื้อหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 โรงนี้ จะสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากให้กับสิงห์ เอสเตท และมากไปกว่านั้นคือจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจทั้งหมด ด้วยการเข้ามาส่งเสริมซึ่งกันและกัน กับธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท (Synergy benefits) ทั้งนี้ ธนาคารจะให้เงินกู้กับทางเราเพื่อมาลงทุนในโครงการนี้ในช่วงแรกก่อน แล้วเราจึงค่อยลงทุนเองในภายหลัง และในจำนวนที่ไม่มาก” นางฐิติมากล่าว

ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท