TKS คาดปี 64 ฟื้นตัวตั้งเป้ารายได้ 2.5 พันลบ. รุกธุรกิจลาเบล-แพคเกจจิ้ง

HoonSmart.com>> “ที.เค.เอส.เทคโนโลยี” ประเมินผลงานปี 2564 ฟื้นตัวชัดเจน ตั้งธงรายได้โตใกล้เคียงปี 62 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ทั้งรัฐ-เอกชนต่อเนื่อง โชว์ Backlog ปัจจุบันมากกว่า 70% ของเป้าหมายยอดขายปี 64

จุติพันธุ์ มงคลสุธี

นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี (TKS) ผู้ประกอบธุรกิจ Security Printing ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานในปี 2564 ว่า บริษัทฯวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จะกลับไปใกล้เคียงหรือดีกว่าเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 2,496.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 409.8 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักๆ เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างองค์กรทำให้บริษัทมีการบริหารงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้บริษัทยังคงมีความสนใจและมองหาโอกาสเข้าร่วมประมูลงานเกี่ยวเนื่อง Printing ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอการทยอยส่งมอบ (Backlog) แล้วกว่า 70% ของเป้าหมายยอดขายรวมปี 2564 แล้ว ซึ่งรอบการรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 3-4 เดือน ส่งผลให้บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2564 จะดีกว่าปี 2563 ส่วนการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และขยายตัวเป็นวงกว้างในตอนนี้นั้น มองว่าอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสที่จะได้งานใหม่ต้องล่าช้าหรือเลื่อนกำหนดออกไปบ้างในระยะสั้น แต่ยังยืนยันว่าทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทก็จะมุ่งเน้นการทำตลาดของธุรกิจลาเบล (Label) และแพคเกจจิ้งให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะแพคเกจจิ้ง เป็นเทรนด์ที่มีความต้องการใช้งานสูง พร้อมกันนี้บริษัทยังพิจารณาที่จะทำคลังสินค้า โดยบริษัทมีฐานลูกค้าบ้างแล้วในกลุ่ม B2B และเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทอีกทางในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาปรับแผนงานและจะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัท (บอร์ด) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564

นอกจากนี้ คาดว่าการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนดีกว่าปีก่อน จากการถือหุ้นในบริษัท ทีบีเอสพี จำกัด (มหาชน) หรือ TBSP ในสัดส่วนร้อยละ 97.14 โดยแนวโน้มผลงานของ TBSP ในปี 2564 นี้ คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นจากปี 2563 จากการรับงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม รวมถึงสามารถรับงานผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้ อย่างเช่น งานพิมพ์สมาร์ทลาเบล ที่ทำให้กับลูกค้าต่างประเทศที่บวกเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าไปด้วย เป็นต้น

ส่วนบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX บริษัทถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 38.51 ในปี 2563 เป็นปีที่ท้าทาย แต่ SYNEX ก็สามารถผลักดันกำไรให้เติบโตขึ้น จากการบริหารจัดการ Product Mix ที่หลากหลาย ครอบคลุมแบรนด์ชั้นนำในตลาด โดยงบปี 63 กำไรเพิ่มขึ้น 22.53% อยู่ที่ 642 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จะลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 32,149 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเน้นทำกำไรให้ดีขึ้น ท่ามกลางความต้องการสินค้าไอทีเพิ่มสูงขึ้น การแข่งขันลดลง แนวโน้มปี 2564 ประเมินตลาดไอทีจะกลับมาเติบโตอย่างเต็มที่ หลังปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบในแง่สินค้าขาดตลาด รับวิถีชีวิตใหม่ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสินค้าเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวด ปี 2563(1 ม.ค.-31 ธ.ค.2563) บริษัทฯมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 1,891.6 ล้านบาท ลดลง 605.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,496.9 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มธนาคารและการส่งออกชะลอตัวลง

อย่างไรก็ตาม จากผลของการปรับโครงสร้างกิจการของกลุ่มบริษัทในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขอบเขต (Economy of scope) ซึ่งช่วยให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้น โดยกลุ่มบริษัทยังคงสามารถบริการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกำไรสุทธิ 231.1 ล้านบาท ลดลง 178.7 ล้านบาท หรือลดลง 43.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 409.8 ล้านบาท

“ในปี 2563 รายได้และกำไรที่ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ในกลุ่ม Security Document Solution (โซลูชันเอกสารความปลอดภัย) และ Card Solution ลดลงอย่างมีสาระสำคัญ โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 424.1 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 20.4 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 409.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.9% สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับโครงสร้างกิจการ หากไม่นับค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวดังกล่าว กลุ่มบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงจากปีก่อน 27 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการค้าร่วมเพิ่มขึ้น 48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24.8%” นายจุติพันธุ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดจากผลการดำเนินงานปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 120.18 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท และสำหรับงวด 6 เดือนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2563 ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 มี.ค.2564 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พ.ค.2564