เมย์แบงก์ฯ ชี้เป้าหุ้น 4 กลุ่มได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐฯ

HoonSmart.com>> บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินหุ้น 4 กลุ่ม “แบงก์-พลังงาน ปิโตรฯ-กลุ่มบริการ ขนส่ง-ส่งออก” ได้ประโยชน์ระยะกลาง-ยาว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ 1.9 ล้านล้านเหรียญฯ หลังผ่านวุฒิสภาสหรัฐฯ ตามคาด

ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า กลุ่มหุ้นไทยที่ได้ประโยชน์ในระยะกลาง-ยาวจากสหรัฐฯ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญฯ ได้แก่ 1) กลุ่มแบงก์ (BANK) ซึ่งยังเป็นหุ้นกลุ่มหลักในฐานะหุ้นวัฎจักรที่ได้อานิสงค์บวกจากภาวะ Reflation อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2) กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี (ENERGY PETRO) จาก ทิศทางราคา Commodity โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดิบจะตอบรับเชิงบวกจากปัจจัยด้านอุปสงค์

3) กลุ่มเกี่ยวข้องกับภาคบริการ ได้แก่ ท่องเที่ยวและขนส่ง (TOURISM, TRANS) ซึ่งหุ้นกลุ่มบริการที่โดนผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤต COVID-19 น่าจะฟื้นตัวได้เร็ว จาก Pent-up Demand ที่จะกลับมาได้แรงกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบก่อนๆ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ปัจจุบันเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการกระจายวัคซีนที่เร็วกว่าคาด

4) กลุ่มส่งออก (Electronics Food IE Packaging) ซึ่งหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ได้ประโยชน์ จากแนวโน้ม Dollar ที่เจอจุดต่ำสุด และเข้าสู่รอบการแข็งค่าในระยะยาว

นายธีรเศรษฐ์ กล่าวว่า สหรัฐฯผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญฯ ตามที่ตลาดคาด ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาวุฒิสภาสหรัฐฯมีมติ 50 ต่อ 49 เสียง ลงคะแนนผ่านมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญฯ รายละเอียดดังนี้ 1)เงินช่วยเหลือโดยตรง (ให้ครั้งเดียว) 1,400 เหรียญฯ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 7.5 หมื่นเหรียญฯ และคู่สมรส ที่มีรายได้รวมกันน้อยกว่า 1.5 แสนเหรียญฯ รวมเป็นวงเงิน 4 แสนล้านเหรียญฯ

2)เงินช่วยเหลือคนว่างงานเพิ่มขึ้นคนละ 300 เหรียญฯต่อสัปดาห์ (ลดลงจากแผนจากสภาล่างในสัปดาห์ก่อนที่ 400 เหรียญฯ) และจะขยายระยะเวลาการจ่ายถึง 6 กันยายน 65 จากเดิมที่สิ้นสุดในสัปดาห์นี้ 3)จัดสรรเงิน 3.5 แสนล้านเหรียญฯ ให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นแต่ละรัฐ

5)งบประมาณเพื่อขยายการตรวจเชื้อ วิจัย COVID-19 และยับยั้งการขยายของ COVID-19 วงเงิน 1.6 แสนล้านเหรียญฯ 6)ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดย Timeline ในช่วงถัดไปจะส่งกลับไปยังสภาล่าง (คาดโหวตอังคารนี้) และท้ายที่สุดคาดไบเดนจะสามารถลงนามได้ทันก่อน 14 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการเยียวยาเดิมจะสิ้นสุดลง

ในขณะที่ภาคบริการได้ประโยชน์จาก Pent-up Demand และ Dollar แข็งค่าระยะยาว การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหหรียญฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 8.9% ของ GDP สหรัฐฯในปี 2019 จะส่งผลให้ อุตสาหกรรมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการได้ประโยชน์ (เช่นเดียวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบก่อน)

แต่ในครั้งนี้ธุรกิจภาคบริการที่มี Pent-up Demand จะมีแรงกระตุ้นให้ฟื้นได้เร็ว เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ต่างจากครั้งก่อนที่อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเว้นระยะห่าง (WFH) ของตกแต่งบ้าน สินค้า IT ที่ได้ประโยชน์มากกว่า โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด ส่งผลให้ Dollar ระยะกลาง-ยาวมีทิศทาง แข็งค่า แต่ในระยะสั้น จากวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่เม็ดเงินค่อนข้างสูง อาจส่งผลให้ Dollar อ่อนค่าชั่วคราว