ทรีนีตี้เชียร์ซื้อ 13 หุ้น มี.ค.ถึงคิวตัวใหญ่

HoonSmart.com>>บล.ทรีนีตี้แจกคัมภีร์ลงทุนหุ้นเดือน มี.ค.คัด 7 กลุ่ม 13 หุ้นปลอดภัย รับบอนด์ยีลด์ขาขึ้น แนะกลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบ ประเมินแนวต้านสำคัญที่ 1,540 จุด ส่วนแนวรับแรก  1,480 จุด  แนวรับสำคัญ 1,450 จุด ครึ่งเดือนหลังถึงเวลาหุ้นขนาดใหญ่  ประมาณการกำไรต่อหุ้นทรงตัวได้  ต่างชาติขายปรับพอร์ตใกล้จบลง  

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.ทรีนีตี้   เปิดเผยทิศทางการลงทุนเดือน มี.ค.ว่า  ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเติบโตเช่น สหรัฐฯ และเอเชียเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีผลมากต่อการปรับเปลี่ยนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์)

“ดัชนีที่แนวรับ 1,450 – 1,480 จุด จะเป็นบริเวณที่สามารถเข้าซื้อเพื่อรองรับกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ภายนอกได้ โดยเฉพาะ การปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ทั่วโลก ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,540 จุด ซึ่งจะเป็นระดับที่ทำให้ค่า Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสู่ระดับ -1SD สะท้อนถึงความตึงตัวในมิติ Valuation หากเห็นระดับดังกล่าว แนะเน้นขายทำกำไรออกมาก่อน” นายณัฐชาต กล่าว

สำหรับธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์บอนด์ยีลด์พุ่งแรง และคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น แนะนำลงทุนใน ธีม Reflation / Recovery / Reopening โดยจะต้องเป็นหุ้นที่ยังคงซื้อขายด้วย Valuation (P/E) ในระดับต่ำด้วย เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีค่า Earning yield gap ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย จึงสามารถทนทานต่อความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์อาจปรับสูงขึ้นอีก

นายณัฐชาตแนะนำว่าหุ้นที่น่าสนใจใน 7 กลุ่ม 13 หุ้น ได้แก่ 1.กลุ่ม Hard commodities หุ้นที่เลือกคือ PTTGC, TOP, SPRC, ESSO 2.กลุ่ม Soft commodities คือ STA 3.กลุ่มธนาคาร เลือก KBANK, BBL 4.กลุ่มอาหารหุ้น  CPF, TU 5.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์  คือ AP, ORI 6.กลุ่มเดินเรือ  RCL 7.กลุ่มสินค้าอุปโภค  STGT

“ เรายังคงมุมมองเป็นกลางและไม่ได้เป็นกังวลมากนักกับบอนด์ยีลด์ที่สูง เนื่องจากความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบหลายช่วงในอดีต ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐ ฯ ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลต่อการเข้มงวดนโยบายการเงินของเฟดเช่นกัน จึงมองเหตุการณ์ปัจจุบันยังคงห่างไกลกับสภาวะ Bond shock ในอดีต ที่มักมาพร้อมกับการปรับฐานของตลาดหุ้นครั้งใหญ่ ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในหุ้นยังคงเป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปได้ ตราบใดที่บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ รุ่น 10 ปียังปรับขึ้นไม่ถึงระดับ 2.0% และคาดการณ์เงินเฟ้อ 10 ปี ของสหรัฐฯ ยังไม่แตะระดับ 2.5%” นายณัฐชาต กล่าว

แนวโน้มครึ่งหลังของเดือนมี.ค.นี้ น่าจะเริ่มเป็นช่วงเวลาที่ดีของหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากขึ้นช้ากว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มาตลอดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มหมดลง หลังผ่านพ้นการปรับตะกร้าของดัชนี FTSE ที่มีการลดน้ำหนักในรอบนี้ และปัจจัยพื้นฐานเริ่มเห็นประมาณการกำไรของหุ้นใหญ่ทรงตัวได้แล้ว จึงแนะนำโน้มเอียงไปยังหุ้นขนาดใหญ่มากกว่า

ตลาดหุ้นวันที่ 2 มี.ค. ดัชนีปิดที่ 1,503.36 จุด บวก 2.44 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 88,905.25 ล้านบาท มีแรงซื้อหุ้นที่มีกำไรปี 63 และไตรมาส 4 เติบโต นำโดย COM7,SAWAD รวมถึงบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดินเรือ เช่น RCL,PSL ขณะเดียวกันตลาดได้รับผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD  สิทธิรับเงินปันผลของบริษัทจำนวนมาก