CKP ชูกำไรปกติโตเท่าตัว เป้าปี 64 รายได้โต15-20% ลงทุน 2-4 พันลบ.

HoonSmart “ซีเค พาวเวอร์”  สร้างกำไรปกติปี 63 โตเท่าตัว ผลจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จ่ายเงินปันผล คาดปี 64 รายได้โตต่อเนื่อง 10-15%  โรงไฟฟ้าทุกโรงเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต  ตั้งงบลงทุน 2,000 – 4,000 ล้านบาทในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ และโครงการพลังงานหมุนเวียน 

ธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เปิดเผยว่า ผลงานในไตรมาสที่ 4/2563 และตลอดทั้งปี 2563 พลิกสร้างกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้น แม้รายได้รวมจะลดลง โดยตลอดทั้งปี กลุ่ม CKP มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติรวม 404.7 ล้านบาท โตขึ้น 212.7 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติเพียง 192 ล้านบาท เติบโตถึง 110.8% ทั้งนี้ไม่รวมการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวของบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์   (XPCL) ในปี 2562

ขณะที่ในไตรมาส 4/63 มีกำไรสุทธิ 7.8 ล้านบาท โตถึง 112.1% พลิกจากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 มีรายได้รวม 7,177.5 ล้านบาท ลดลง 1,662.7 ล้านบาท คิดเป็น 18.8% เช่นเดียวกับรายได้รวมของไตรมาส 4 มีรายได้รวม 1,453.4 ล้านบาท ลดลง 655.8 ล้านบาทหรือ 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2562

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้กลุ่ม CKP มีกำไร มาจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและการบริหารทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไตรมาส 4 มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนขายรวม  1,530.6 ล้านบาท ลดลง 11.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2562   และมีต้นทุนทางการเงินรวม 255.3 ล้านบาท ลดลง 1.8% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนขายทั้งปี 2563 อยู่ที่ 6,417.5 ล้านบาท ลดลง 8.6%จากปี 2562  และต้นทุนทางการเงินรวมที่ 996.4 ล้านบาท ลดลง  14.2%

นอกจากนี้ CKP ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน XPCL ที่มีการดำเนินงานเต็มทุกไตรมาสเป็นปีแรก ขณะที่โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น (BIC) ไม่มีการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงใหญ่ และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย (BKC) สามารถเปลี่ยนแผงโซลาร์แล้วเสร็จตามแผน  เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแผงได้ถึง 25% โดยทยอยผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เต็มกำลังผลิตและเป็นไปตามเป้าอีกด้วย

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 (NN2) มีปริมาณการขายไฟฟ้า  920 ล้านหน่วย ลดลง 45.4%จากปี 2562  เนื่องจากในช่วงต้นปี 2563 มีปริมาณน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำของ NN2 อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมีปริมาณน้อยกว่าปี 2562 ประมาณ  6.6%  จึงต้องประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง เพื่อบริหารจัดการให้มีการสำรองปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ส่วน BIC ถึงแม้จะมีการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมแซม Gas Turbine ของ BIC-1 ก็ยังสามารถขายไฟฟ้าได้ 1,536 ล้านหน่วย ใกล้เคียงกับปี 2562 นอกจากนี้ทางไซยะบุรี ได้ดำเนินงานเต็มปี มีการขายไฟฟ้าในปี 2563 ได้ถึง 6,301 ล้านหน่วย

ในปี 2563 มีกำไรสุทธิ  404.71 ล้านบาท เท่ากับ 0.05 บาทต่อหุ้น จากปี 2562 มีกำไรสุทธิ 768.90 ล้านบาท คิดเป็น 0.10 บาท

คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.035 บาทให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 27 เม.ย. กำหนดขึ้น XD วันที่ 26 เม.ย. และจ่ายเงินวันที่ 17 พ.ค.2564

“ CKP สามารถสร้างกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปี 2563  เพราะมีการบริหารจัดการด้านการเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาเสถียรภาพเพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าส่งขายได้ตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการมีจุดแข็งที่กระจายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหลากหลายประเภท ทำให้การดำเนินธุรกิจในภาวะที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นไปได้ด้วยดี และในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงยึดแนวทางการบริหารงานดังกล่าว พร้อมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพภาพมากขึ้นโดยการบริหารให้เกิด Economies of Scale ในการทำงานด้วย” นายธนวัฒน์ กล่าว

ส่วนแผนลงทุนปี 2564 นายธนวัฒน์ กล่าวว่า CKP มีการจัดสรรงบไว้ประมาณ 2,000 – 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่และโครงการพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท รวมกับเงินคงเหลือจากการออกหุ้นกู้ในปลายปีก่อนประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอสำหรับรองรับการขยายธุรกิจและนำมาไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 4,000 ล้านบาทในเดือนมิ.ย. 2564

ด้านผลการดำเนินงาน บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีรายได้โตประมาณ 10-15% ซึ่งจะเป็นรายได้จาก NN2 ที่มีการสำรองน้ำในอ่างเก็บน้ำในปลายปี 2563 เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า และคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำในปีนี้จะมากกว่าปีก่อน เช่นเดียวกับปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าไซยะบุรีก็คาดการณ์ว่าจะมากกว่าปีก่อน  ส่วนโรงไฟฟ้าของ BIC-1 และ BIC-2 ยังคงผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตามปกติ ขณะที่โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์อีก 7 แห่ง จะสามารถจ่ายไฟได้เต็มปีใน 2564 นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นโอกาสที่ได้ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย

บริษัทฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 13 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้งที่ 2,167 เมกะวัตต์