STA ลั่นรายได้ปี 64 แตะ 1 แสนลบ. โบรกเพิ่มเป้าเป็น 48-55 บาท

HoonSmart.com>>”ศรีตรังฯ” หวังปี 64  โตโดดเด่น รายได้แตะ 1 แสนล้านบาท อัตรากำไร 10-12% ขายยางธรรมชาติ 1.2 ล้านตัน ความต้องการล้อยางรถมาต่อเนื่อง  ธุรกิจถุงมือยางนิวไฮต่อ ราคาขายเฉลี่ยต่อชิ้นดีขึ้น 20% จากปีก่อน ตั้งงบลงทุนรวม 1.2 หมื่นล้าน  เตรียมยื่นขอใบอนุญาตปลูก-นำเข้ากัญชง คาดเริ่มขายธ.ค.นี้ ตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปี 66 ด้านบล.ฟินันเซียฯเพิ่มเป้าเป็น 48 บาท จาก 34 บาท  บล.หยวนต้าตีมูลค่า 55 บาท  บล.เอเซียพลัส คงราคาเหมาะสม 50 บาท  

หุ้นบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เด้งแรงรับข่าวดีเร็วทันใจ ใกล้ซิลลิ่ง ราคาขึ้นไปสูงสุด 44.50 บาท ก่อนปิดที่ 43.50 บาท พุ่งขึ้น 9 บาทหรือ 26.09% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวันที่ระดับ 12,101 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2564 ภายหลังจากบริษัทพบนักวิเคราะห์ให้ข้อมูลธุรกิจเห็นภาพการเติบโตชัดเจน

น.ส.ทิพย์วดี สุดเวหา ผู้จัดการกลุ่มงานนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตที่โดดเด่นในปี 2564 คาดว่าจะได้เห็นรายได้อยู่ที่ระดับ 100,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ที่ 75,478.7 ล้านบาท และเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นที่ประมาณ 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.3% โดยธุรกิจยางธรรมชาติยังเติบโตจากทุกผลิตภัณฑ์  ความต้องการยางล้อรถที่เพิ่มขึ้น และราคายางที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการแข่งขันในตลาดเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่มาก ทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าปริมาณขายยางธรรมชาติปีนี้ประมาณ 1,200,000 ล้านตัน

ส่วนธุรกิจถุงมือคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร ราคาขายเฉลี่ยต่อชิ้นในปีนี้ จะสูงขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 20% และจะออกผลิตภัณฑ์ถุงมือยางสังเคราะห์แบบไม่มีแป้งประมาณกลางปีนี้ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันในตลาดโลก  ส่วนกรณีขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์ ปัจจุบันเริ่มส่งสินค้าไปได้มากกว่าไตรมาสก่อนหน้า

น.ส.ทิพย์วดีกล่าวว่างบลงทุนรวม บริษัทตั้งไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยใช้ในธุรกิจถุงมือยางประมาณ 11,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต และเงินที่เหลือจะใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจยางธรรมชาติ ทั้งนี้มีแผนจะออกหุ้นกู้ ประมาณ 3,500 ล้านบาท ในช่วงเดือน มี.ค.64 นี้

สำหรับธุรกิจใหม่ การนำกัญชงมาสกัดเป็นน้ำมันเพื่อจำหน่าย บริษัทได้เตรียมขอใบอนุญาตปลูกกัญชงและขอใบอนุญาตในการนำเข้าเมล็ดกัญชงจากต่างประเทศ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในเดือน มี.ค.นี้ คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในเดือน มิ.ย.และสามารถจำหน่ายสู่ตลาดได้ในเดือน ธ.ค.2564

“เรามองว่าจะเป็นผู้ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ โดยมีแผนจะตั้งโรงงานสกัดกัญชงเป็นน้ำมัน CBD คาดว่าจะได้เห็นในปี 2566 หลังจากเห็นข่าวที่เราจะเริ่มธุรกิจนี้ มีผู้ขายเครื่องจักรติดต่อมาแล้ว แต่เรายังต้องพิจารณาอีกครั้ง ถ้ามีความต้องการที่มากเราก็พร้อมจะลงทุน เราจะเริ่มต้นปลูกในช่วงกลางปีนี้ประมาณ 100-200 ไร่ก่อน ถ้ามีการเติบโต ก็พร้อมปลูกเพิ่มจากพื้นว่างที่มีถึง 2,000 ไร่ และยังสามารถแซมไปยังพื้นที่ว่างอื่นๆที่ใช้ปลูกต้นยางได้อีก” น.ส.ทิพย์วดี กล่าว

ด้านฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ได้ปรับราคาเป้าหมาย STA ขึ้นเป็น 48 บาท จากเดิม 34 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากปัจจัยบวกของธุรกิจถุงมือยางที่คาดว่ายังทำจุดสูงสุดใหม่ทั้งรายได้และกำไร ส่วนธุรกิจยางธรรมชาติยังเติบโตตามความต้องการยางล้อในอุตสาหกรรมของลูกค้า รวมถึงในไตรมาส 1 ราคายางที่จะขยับขึ้นประมาณ 5-10% จากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 155 เซนต์ต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีธุรกิจใหม่การผลิตน้ำมันจากกัญชง คาดจะเป็นรายแรกๆของตลาด คาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีนี้ ที่ 16,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)  กล่าวว่า STA อนาคตยังเติบโตได้อีกมาก ธุรกิจยางธรรมชาติคาดว่าจะเติบโตมากขึ้น ทั้งปริมาณขาย ตามความต้องการยางล้อที่ดีขึ้น และราคายางในไตรมาส 1 คาดว่าปรับขึ้น 5-10% และไตรมาส 2 ก็น่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นอีก คาดการณ์กำไรปกติเฉพาะธุรกิจยางธรรมชาติในครึ่งปีแรก ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจถุงมือยางก็เติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง ด้านธุรกิจใหม่กัญชง ถ้าเริ่มทำได้เร็ว จะได้กำไรที่เพิ่มขึ้นอีก  แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมที่ 55 บาท

นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ยังคงคำแนะนำซื้อและราคาเป้าหมายไว้ที่ 50 บาท ยังไม่ปรับเป้าขึ้น เพื่อรอติดตามการตั้งเป้าหมายของ STA ธุรกิจใหม่กัญชง จะเข้ามาช่วยให้รายได้มีการเติบโตมากน้อยเพียงใด ซึ่งในปีนี้ยังคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 15,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.3% จากปีก่อน ส่วนปี 65 คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 9,722 บาท ลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับปี 63 เนื่องจากการเริ่มใช้วัคซีนที่มากขึ้น  ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ถุงมือยางอาจจะลดลง