HoonSmart.com>> “บีซีพีจี” โชว์กำไรปี 63 จำนวน 1,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากงวดปีก่อน ด้าน EBITDA ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 3,849 ล้านบาท โต 30% รับรู้รายได้โครงการใหม่ๆ และโครงการเดิมต่อเนื่อง บอร์ดเคาะปันผลอัตรา 0.17 บาท หลังกำไรปกติในไตรมาส 4 โต 24.5% ขึ้น XD 3 มี.ค. 2564 จ่ายเงิน 21 เม.ย.นี้
บริษัท บีซีพีจี (BCPG) และบริษัทย่อย เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2563 กำไรสุทธิ 1,912.25 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.92 บาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,801.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.90 บาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดปี 2563 EBITDA โตขึ้น 30.2% จากปี 2562 อยู่ที่ 3,849 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 4,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,959 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.5%
ขณะที่งวดไตรมาส 4/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2563 มีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจาก บริษัทฯ รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว “Nam San 3A” ที่กลุ่มบริษัทฯ เข้าซื้อตั้งแต่เดือน ก.ย.2562 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ลมลิกอร์” ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน เม.ย.2562
นอกจากนี้ ยังทยอยรับรู้รายได้จาก 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งที่ 2 “Nam San 3B” ใน สปป. ลาว ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เข้าซื้อเมื่อเดือนก.พ.2563 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการในประเทศไทย ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ที่ได้เข้าซื้อเมื่อเดือนส.ค.ปีเดียวกัน
ขณะเดียวกันยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้น เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเดินทางติดต่อธุรกิจลดลง ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 พร้อมทั้งค่าใช้จ่ายด้านที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการได้ลดลง
ณ สิ้นปี 2563 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 51,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 37.9 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 28,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.8 โดยการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ และหนี้สินดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ที่ สปป.ลาว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการในประเทศไทย
“ปี 2563 เป็นปีที่บริษัทฯ มี EBITDA ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ และการเติบโตของโครงการลงทุนที่มีอยู่เดิมซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา และจากความสำเร็จในการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมานี้ ทำให้ บริษัทฯ มีโครงสร้างทางการเงินที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตขึ้นเป็นระดับ 22,480 ล้านบาท เติบโต 45% โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) อยู่ใน 1.27 เท่า พร้อมรองรับแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาท ที่สามารถทำให้บริษัทฯ มีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า adder ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะทยอยหมดลงไปก็ตาม เป้าหมาย EBITDA ของบริษัทฯ จะยังคงเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ15% ต่อปี ใน 5 ปีข้างหน้า” นายบัณฑิต กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2564 ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2563 หรือครึ่งปีหลัง ของปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 ม.ค.–30 มิ.ย.2563 ที่ได้จ่ายไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2563 รวมอัตราหุ้นละ 0.33 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 768.82 ล้านบาท
กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 มี.ค.2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 เม.ย.2564 และขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 3 มี.ค.2564 ทั้งนี้ บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 7 เม.ย.2564