บลจ.พรินซิเพิลแนะรอหุ้นโลก-ไทยปรับฐานจังหวะเข้าซื้อ

HoonSmart.com>> บลจ.พรินซิเพิล มองระยะสั้นหุ้นไทย-หุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐาน แนะระมัดระวังลงทุน รอจังหวะเข้าซื้อ ประเมินกรอบหุ้นไทยปีนี้ 1,400-1,650 จุด ด้านตลาดหุ้นเวียดนามโดดเด่น REIT ราคา laggards ผลตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจ

วิน พรหมแพทย์

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและหุ้นโลกในปี 2564 นี้มีมุมมองเป็นกลางๆ (Neutral Weight) หลังขึ้นมาต่อเนื่อง ในระยะสั้นดัชนีจึงมีโอกาสผันผวน จึงแนะนำเข้าซื้อด้วยความระมัดระวังและรอจังหวะซื้อเมื่อตลาดปรับฐาน รวมทั้งยังต้องติดตามกรณีหุ้น GAME STOP ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ แต่ในระยะกลาง-ยาวยังอยู่หุ้นทั่วโลกอยู่ในขาขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการอัดฉีดเม็ดเงิน QE

“การรวมตัวกันซื้อหุ้น GAME STOP ของนักลงทุนรายย่อย จุดน่าห่วงคือนักลงทุนที่เพิ่งเล่นหุ้นครั้งแรกกล้าได้กล้าเสีย ซื้อทั้งหุ้นและ call option ใช้เงินน้อยก็ทำให้หุ้นขึ้นได้แรง แต่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานหุ้นไม่ได้แข็งแกร่ง ราคาขึ้นจากการรวมตัวกันซื้อ แต่หากหุ้นเป็นขาลงหรือเกิดการแพนิคขายหุ้นออกมาก็จะทำให้นักลงทุนเสียหาย จึงต้องติดตามเพราะอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก”นายวิน กล่าว

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียคาดฟื้นตัวดีกว่าประเทศพัฒนาแล้วจากปัจจัยบวก ได้แก่ วัคซีน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและการค้าโลก ขณะที่ประเทศไทยแบงก์ชาติคาดว่าจะใช้เวลา 2 ปีกว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาจุดเดิม โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือหนี้ครัวเรือนสัดส่วนเพิ่มขึ้นและหนี้เสียของธุรกิจ SME มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% และมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงได้มากขึ้นหากเศรษฐกิจแย่

นายวิน กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองกรอบ 1,400-1,650 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, การฟื้นตัวของรายได้ภาคเกษตร, การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Revision) ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดเพื่อนบ้านในอาเซียน, กระแส Fund Flows ของนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางค่าเงินเงินดอลล่าร์อ่อน

อย่างไรก็ตามการระบาดโควิดรอบใหม่ ความล่าช้าของการฉีดวัคซีนยังเป็นปัจจัยลบต่อตลาด ขณะเดียวกันปัจจัยลบในต่างประเทศซึ่งมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทย จึงต้องติดตามความเสี่ยงที่จะเกิดการถอน QE ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบตลาดหุ้นได้ รวมถึงวิกฤตตราสารหนี้อย่างกรณีของกรีซ ปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำทำให้มีภาระจ่ายดอกเบี้ยลดลง แต่หากดอกเบี้ยขึ้นก็อาจทำให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้นซึ่งต้องติดตามความเสี่ยงนี้ รวมถังปัจจัยความขัดแย้งทางการเมือง

“มีโอกาสที่จะผันผวนได้มากในระยะสั้น ราคาแพง นักลงทุนจึงควรพิจารณาจังหวะการเข้าลงทุนด้วยความระมัดระวัง แนะนำกลยุทธ์ รอซื้อเมื่อตลาดปรับลง โดยคาดหมายกรอบ SET Index ที่ 1,400-1,650 จุด”นายวิน กล่าว

พร้อมกับมองว่ากรณีหุ้น DELTA ที่ฟรีโฟลทต่ำและชี้นำดัชนีหุ้นไทยนั้นส่งผลต่อการบริหารจัดการกองทุน

สำหรับหุ้นแนะนำ ได้แก่ หุ้นกลุ่มวัฎจักรที่จะโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ ปิโตรเคมี,กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม,ที่อยู่อาศัยและกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของรายได้ภาคเกษตร อาทิ คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์และกลุ่มวัสดุตกแต่งบ้าน

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้คาดว่า Bond Yield จะทรงตัวในระดับต่ำ แต่มีโอกาสที่ Yield Curve จะสูงชันตามทิศทางตลาดโลกจาภาวะ Reflation ขณะเดียวกันคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ดังนั้นจึงแนะนำลงทุนพันธบัตรระยะสั้นและทยอยเพิ่มสัดส่วนหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี A- ขึ้นไป อายุ 1-5 ปี

นายวิน กล่าวว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนทั่วโลกแนะนำให้มีหุ้นทั่วโลกประมาณ 70% และอีก 30% สามารถเลือกกระจายลงทุนไปยังหุ้นภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าจะเติบโตโดดเด่นจากการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งปีที่ผ่านเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วจากการบริโภคในประเทศหนุน GDP เติบโต 2.8% สูงเมื่อเทียบประเทศในภูมิภาค อีกทั้งคาดว่าฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่องจากการปรับเพิ่มน้ำหนักเวียดนามในดัชนี MSCI Fronteir

นอกจากนี้อาจกระจายลงทุนในหุ้นธีมต่างๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลก เช่น หุ้นนวัตกรรม เทคโนโลยี คลาวด์ คอมพิวติ้งและเทคโนโลยีทางการแพทย์ พร้อมกันนี้อาจเพิ่มการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหารัมทรัพย์ (REIT) ซึ่งฟื้นตัวต่อเนื่องและยังเป็น laggards เมื่อเทียบตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยบวกเรื่องของวัคซีน โดยกลุ่มรีเทล ห้างและโรงแรมเริ่มกลับมาน่าสนใจหลังจากราคาปรับตัวลงไปมาก ซึ่งโควิดระลอกใหม่ในไทยห้างยังเปิดได้ ส่วนกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ โลจิสติกส์และอินฟราสตรัคเจอร์ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างน้อย นักลงทุนเข้าซื้อจนราคาปรับตัวขึ้นมามากต้องรอจังหวะ โดยผลตอบแทน REIT ทั่วโลกประมาณ 3-5% ยังน่าสนใจ ส่วนทองคำในระยะสั้นแนะลดน้ำหนักลงทุน แต่ในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น