HoonSmart.com>>ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยโชว์ผลงานโตก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มบทบาททั้งในและต่างประเทศ เป็นผู้นำองค์กรระดับภูมิภาคในปี 2565 และมุ่งสู่ระดับโลก ผลดำเนินงานปี 63 มีกำไรก่อนสำรอง 2,250 ล้านบาท อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพสูงถึง 232.44%
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงาน ปี 2563 และการปรับบทบาทองค์กร ถือว่าเติบโตทุกด้านตามแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างก้าวกระโดด และบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำธนาคารเพื่อการส่งออก (Export Credit Agency : ECA) ระดับภูมิภาคในปี 2565 และเฟสสองเป็นองค์กรก้าวเข้าสู่ระดับโลกในปี 2570
” เราได้จ้างที่ปรึกษามาทำบทบาทของธนาคารที่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ วางแผน 10 ปี จะเป็นอะไร ซึ่งรมว.คลังเห็นชอบและสนับสนุน ได้รับทุนเพื่อมีบทบาทที่ใหญ่ขึ้น เติบโตอย่างมากตั้งแต่ปี 2559-ปัจจุบัน และมีความสำคัญสำหรับประเทศ สะท้อนได้จากสัดส่วนมูลค่าการสนับสนุนธุรกรรมด้านการค้าและการลงทุนไทยต่อรายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) อยู่ที่ 1.6% สูงกว่า ECA อื่น ๆ ในอาเซียน ซึ่งอยู่ในระดับ 0.5-0.7% และปี 2570 ตั้งเป้าจะสนับสนุนการค้าการลงทุนไทยต่อ GNI ที่ 2.4%” นายพิศิษฐ์กล่าว
ธนาคารได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกและลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดใหม่ ทั้งในและนอกอาเซียน เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามา และสร้างซัพพลายเชน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างขยายตัว 84% จาก 73,540 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2558 เพิ่มเป็น 135,228 ล้านบาทในสิ้นปี 2563 ที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี โดยเป็นยอดคงค้างสินเชื่อ SMEs เพิ่มขึ้น 86% จาก 16,883 ล้านบาท เป็น 31,461 ล้านบาท หรือโตเฉลี่ย 13% ต่อปีเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันจำนวนลูกค้าก็เติบโตมาก 163% จาก 1,631 ราย เป็น 4,282 ราย เฉลี่ย 21% ต่อปี ในส่วนลูกค้า SMEs เพิ่มขึ้น 194% จาก 1,192 ราย เป็น 3,507 ราย เฉลี่ย 24% ต่อปี คิดเป็นสัดส่วนสนับสนุนผู้ส่งออก SMEs ได้ 15% ของผู้ประกอบการ SMEs ทั้งประเทศ ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 30% ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างในตลาดใหม่รวมกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV ขยายตัว 53% จาก 26,022 ล้านบาท เป็น 39,754 ล้านบาท เฉลี่ย 9% ต่อปี
ด้านผลการดำเนินงานปี 2563 มีสินเชื่อคงค้าง 135,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,360 ล้านบาท หรือ 11% เมื่อเทียบกับปี 2562 แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 36,093 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 99,135 ล้านบาท ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ รวม 168,035 ล้านบาท เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs จำนวน 60,689 ล้านบาท ประมาณ สัดส่วน 36% รวมถึงการสนับสนุนการป้องกันความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุนในต่างประเทศ โดยปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเพิ่มขึ้น 105% จาก 66,018 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 135,071 ล้านบาทในปี 2563 (เฉลี่ย 15% ต่อปี) และเมื่อเทียบกับปี 2562 เพิ่มขึ้น 13,699 ล้านบาท หรือ 11%
ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 3.81% จากจำนวนสินเชื่อด้อยคุณภาพ 5,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ขึ้นมากถึง 5-10% และตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 9) ธนาคารได้มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 11,977 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 232.44% ส่งผลให้ในปี 2563 มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสำรองอื่น ๆ เท่ากับ 2,250 ล้านบาท แต่การสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ EXIM BANK มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 1,340 ล้านบาท
ธนาคารมีสำนักงานผู้แทนครบ 4 แห่งในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ในส่วนเวียดนามเพิ่งได้รับใบอนุญาตจัดตั้งสำนักงานผู้แทนในนครโฮจิมินห์ เวียดนาม เมื่อเดือนธ.ค. 2563 และธนาคารได้ก้าวเข้าสู่ธนาคารดิจิทัล ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในกระบวนการทำงานและการให้บริการลูกค้า
นอกจากนี้ธนาคารยังให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-curve) และพื้นที่เป้าหมาย อาทิ พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดคงค้างสินเชื่อในประเทศขยายตัว 61% จาก 26,489 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 42,751 ล้านบาทในปี 2563 หรือเฉลี่ย 10% ต่อปี และเมื่อเทียบกับปี 2562 เพิ่มขึ้น 7,237 ล้านบาท หรือ 20%
EXIM BANK ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะ SMEs โดยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 6 เดือนตั้งแต่ต้นปี 2563 และได้ออกมาตรการฟื้นฟูกิจการลูกค้าที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง พร้อมเปิดคลินิกให้คำปรึกษา อบรมสัมมนาและจับคู่ธุรกิจทางออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการจำนวน 6,400 ราย วงเงินรวมประมาณ 55,000 ล้านบาท
ธนาคารมีเป้าหมายพัฒนาธนาคารเพื่อความยั่งยืน ปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าและการบริหารจัดการองค์กร รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลตลอดเส้นทางการทำงาน และการมุ่งสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย EXIM BANK สามารถบริหารจัดการการเงินและธุรกิจ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และการยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อความยั่งยืน จนทำให้องค์กรยังมีฐานะการเงินในระดับที่แข็งแกร่ง
นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มในปี 2564 EXIM BANK ยังคงเดินหน้าสนับสนุนผู้ส่งออกและนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเริ่มต้นและขยายธุรกิจได้ รวมถึงการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ยังคงช่วยเหลือลูกค้าฟื้นฟูกิจการตามสภาพคล่องของธุรกิจ และออกมาตรการพักชำระหนี้ “เงินต้น-ดอกเบี้ย” ในพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง รวมทั้งขยายระยะเวลาอนุมัติมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว
สำหรับนายพิศิษฐ์ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ในสิ้นเดือนม.ค. 2564 หลังจากต่ออายุจนครบอายุ 60 ปี จากการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2559