ผู้ว่าธปท.กระตุ้นภาคการเงินร่วมแก้ปัญหา “เหลื่อมล้ำ-คอรัปชั่น-สิ่งแวดล้อม-เพิ่มผลิตภาพการผลิต” เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ย้ำครัวเรือนฐานรากมีปัญหาหนี้สินสูง ทำให้สังคมมีความเปราะบาง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงาน “Bangkok Sustainable Banking Forum 2018” วันนี้ (23 ก.ค.) โดยระบุว่า สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาและความท้าทายหลายด้าน หากไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหาก็ยากที่สังคมไทยจะพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน สำหรับซปัญหาและความท้าทายที่ทำให้ต้องฉุกคิด และตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้มาถึงจุดนี้ได้อย่างไรมี 4 เรื่อง
เรื่องแรก คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แม้ว่าเราจะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและกระจายตัวดีขึ้น ภาครัฐมีมาตรการหลายเรื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย แต่ประเทศไทยยังติดอันดับต้น ๆ ของโลกในเรื่องความเหลื่อมล้ำ คนรวยที่สุด 1% แรกของประเทศเป็นเจ้าของทรัพย์สิน มากกว่าคนอีกครึ่งของทั้งประเทศรวมกัน นอกจากนี้ การขาดความรู้ทางการเงินและหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้คนไทยจำนวนมากขาดความมั่นคงทางการเงินและปิดกั้นโอกาสใหม่ๆ
“ปัญหาความเหลื่อมล้ำทำให้คนในระดับฐานรากยากที่จะยกระดับฐานะทางสังคมของตน และเป็นปัญหาที่สร้างความเปราะบางให้สังคมไทย และทำให้นโยบายประชานิยมที่ไม่รับผิดชอบได้รับความนิยม ทั้งๆ ที่นโยบายประชานิยมเหล่านี้ใช้งบประมาณสูง ไม่ยั่งยืนในระยะยาว และสร้างภาระให้คนในช่วงอายุต่อไป”นายวิรไทกล่าว
เรื่องที่สองคือ ปัญหาผลิตภาพแรงงานที่ลดลง หากมองไปข้างหน้า การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะทำให้แรงงานในวัยทำงานลดลง การเพิ่มผลิตภาพจะสำคัญมากสำหรับทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ ที่ผ่านมานโยบายส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตในระยะสั้น มากกว่ามุ่งที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว ระบบการศึกษาของเราไม่ช่วยยกระดับทักษะความสามารถของคนไทยให้มีผลิตภาพสูงขึ้น ถ้าเราไม่ช่วยกันปฏิรูปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว ประเทศไทยจะรักษาความสามารถในการแข่งขันในอนาคตได้อย่างไร
นายวิรไท กล่าวว่า เรื่องที่สามคือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเราละเลย ขาดการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและดูแลระบบนิเวศอย่างเหมาะสม การที่คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในภาคเกษตร และยังต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในการทำมาหาเลี้ยงชีวิต การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และแก้ปัหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ยากที่จะปฏิเสธว่า การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบของเรา ไม่ว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับที่สูงมากหรือการใช้พลาสติกจำนวนมหาศาลโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ มีส่วนทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยรวมแย่ลง
“การเปลี่ยนแปลงของปัญหาโลกร้อน ซึ่งทำให้โลกเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น บทเรียนจากน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้เห็นถึงผลจากการตัดไม้ทำลายป่า การพัฒนาที่กีดขวางทางน้ำธรรมชาติ และปัญหาทางระบายน้ำอุดตันจากขยะที่เราทิ้งโดยไม่รับผิดชอบ”นายวิรไทกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจของเราในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะอิเล็คทรอโทรนิคแห่งใหม่ของโลก หรือ การที่สารกำจัดวัชพืชพาราควอตยังถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ถูกห้ามใช้ใน 48 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา ลาว และเวียดนาม
นายวิรไท กล่าวว่า เรื่องที่สี่คือ ปัญหาคอรัปชั่น การคอรัปชั่นอย่างแพร่หลายเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ฉุดรั้งประเทศไม่ให้ก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว การติดสินบนและการเอื้อพวกพ้องเป็นต้นทุนแฝงที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคนแพงขึ้น และสร้างความบิดเบือนให้กับระบบเศรษฐกิจ นโยบายที่มุ่งหวังเพียงผลทางการเมือง หรือมุ่งเพียงแค่หาผลประโยชน์ส่วนตนโดยขาดความรับผิดชอบ จะสร้างภาระให้คนในช่วงอายุต่อไป ทำให้คนไทยในอนาคตขาดทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาและการดำรงชีพ
ทั้งนี้ แม้ว่าเราจะร่วมกันรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์เรื่องนี้กลับไม่ดีขึ้น ในภาคการเงินก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เข้าข่ายการฉ้อฉลคอรัปชั่น เช่น การใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การปั่นหุ้น การฟอกเงิน หรือ การขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้แก่ลูกค้าโดยไม่ให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา พฤติกรรมฉ้อฉลคอรัปชั่นเหล่านี้ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในภาคการเงิน รวมทั้งธปท. ต้องยกระดับการกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาลและจรรยาบรรณของกรรมการและผู้บริหารสถาบันการเงิน และการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม
“เราปล่อยให้ปัญหาต่าง ๆ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรามักคิดเอาเองว่า จะมีคนอื่นลุกขึ้นมาแก้ปัญหาหรือไม่ก็คิดว่าการแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของคนอื่น แต่แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข”นายวิรไทกล่าว
นายวิรไท กล่าวว่า ตนเองคิดว่าภาคการเงินการธนาคาร มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่สังคมในวงกว้าง เพราะภาคการเงินการธนาคาร ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ คือ “ทรัพยากรทางการเงิน” หรือ “ทุน” แม้ว่าที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีในหลายเรื่อง แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เราสามารถช่วยกันทำ และต้องทำให้มากขึ้นด้วย เพื่อที่จะสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้สังคมไทยพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายวิรไท กล่าวว่า การนำหลักคิดเรื่องความยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ในภาคการเงินการธนาคาร ไม่ใช่เพียงเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาของส่วนรวมและนำพาพวกเราไปสู่สังคมที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่จะยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่สถาบันการเงินที่นำหลักคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจในหลายมิติด้วย อาทิ
มิติแรก แนวคิดเรื่องความยั่งยืน และการมองไกลอย่างรอบด้าน จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว การที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องความยั่งยืนได้ส่งผลให้สังคมมีความคาดหวังสูงขึ้นต่อคุณภาพของสินค้าและบริการ ตลอดจนมาตรฐานเรื่องต่าง ๆ สถาบันการเงินใดที่นำแนวคิดเรื่องความยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ก่อน ก็จะสามารถตอบโจทย์ความคาดหวังที่สูงขึ้นของสังคมและลูกค้าได้เร็วกว่าคนอื่น และจะกลายเป็นผู้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่จะมีผลต่อรูปแบบการทำธุรกิจในอนาคต
มิติที่สอง สถาบันการเงินที่บริหารธุรกิจตามหลักความยั่งยืน จะสามารถดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถให้มาร่วมงานด้วยได้ดีกว่ามาก โดยเฉพาะคนรุ่น Millennial ซึ่งชอบที่จะทำงานในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และสร้าง impact ให้แก่สังคม สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว ความพึงพอใจจากการทำงานไม่ได้มีเพียงผลตอบแทนในรูปตัวเงินเท่านั้น แต่จะต้องรวมถึงผลที่เกิดขึ้นต่อสังคมส่วนรวมด้วย
มิติที่สาม การนำหลักคิดเรื่องความยั่งยืนมาใช้ จะเพิ่มโอกาสให้สถาบันการเงินเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดีขึ้น พัฒนาการของตลาดทุนโลกในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า การลงทุนของกองทุนและสถาบันต่าง ๆ จะนำมิติด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการปฏิบัติดีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาประกอบการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ประเมินกันว่าการลงทุนมากกว่า 1 ใน 4 ของสินทรัพย์ทั่วโลกขณะนี้เป็นการลงทุนที่ใช้เกณฑ์ด้านความยั่งยืน (ESG- Environment, Social, and Governance principles) ประกอบการตัดสินใจ
“เวลานี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่เป็นผู้นำ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริหารสถาบันการเงิน ว่าจะนำหลักคิดเรื่องความยั่งยืน มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม พวกเราในภาคการเงินการธนาคารจะเป็นพลังสำคัญที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น ให้สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน เพื่อคนไทยในช่วงอายุต่อไป” นายวิรไทระบุ
****************
ติดตามข่าว หุ้นเด่น ประเด็นร้อน #HoonSmart #หุ้นสมาร์ท ได้ที่
Facebook : www.facebook.com/HoonSmart
Line : https://line.me/R/ti/p/%40hoonsmart.com