HoonSmart.com>>ฮอตปรอทแตก! หุ้นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 2,610 ล้านหุ้น และกรีนชูอีก 390 ล้านหุ้น ในราคาเบื้องต้น 16-18 บาทต่อหุ้น สำหรับนักลงทุนรายย่อย สามารถจองซื้อได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.เวลา 09.00 น. – 2 ก.พ.เวลา 12.00 น.
www.HoonSmart.com ได้รับการสอบถามถึงวิธีการจองซื้ออย่างไร ถึงจะได้หุ้น ขอตอบว่าได้รับการจัดสรรทุกคน รอบแรกได้คนละ 300 หุ้น ถ้าเหลือได้เพิ่มรอบละ 100 หุ้นจนกว่าหุ้นจะหมด โดยไม่ต้องสุ่มเลือก และไม่ต้องไปหว่านจองทั้งสามแบงก์ เพราะนักลงทุน 1 คนต่อ 1 สิทธิ
ในไฟลิ่งของ OR ระบุว่าจะจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวน 595.7 ล้านหุ้น ประเมินเบื้องต้น กรณีมีนักลงทุนจองซื้อมากถึง 1.985 ล้านคน ทุกคนจะได้เพียง 300 หุ้น ไม่มีลุ้นรอบที่สอง และรอบที่สาม ต้องจ่ายในราคาสูงสุดที่กำหนดไว้ที่ 18 บาทก่อน ใช้เงินลงทุนเพียง 5,400 บาท ก็สามารถร่วมเป็นเจ้าของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกได้สบาย
แบงก์แนะนำนักลงทุนว่า จองสะดวกไม่ต้องกลัวโควิด ให้ทำรายการผ่านช่องทางออนไลน์ แทนที่จะไปสาขา โดยธนาคารกสิกรไทยใช้ Website: K-My Invest และจ่ายด้วย K+ โดยให้ทำรายการในช่วงวันที่ 26-28 ม.ค.คาดว่าระบบจะไม่หน่วง เหมือนในช่วง 1-2 วันแรก
” จองก่อน ไม่ได้ก่อน ต้องรอจัดสรร คาดทราบผลวันที่ 5 ก.พ.64 ช่วงเย็นๆ “
ส่วนผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) มีทั้งหมด 28 ราย ส่วนที่จองซื้อในประเทศ จัดสรรให้จำนวน 1,264.3 ล้านหุ้น โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ได้รับมากที่สุด 239 ล้านหุ้น ขณะที่ GIC Private Limited จองซื้อในต่างประเทศมากที่สุด จำนวน 215 ล้านหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทุกบริษัท ต้องจองซื้อหุ้น OR แต่ OR ไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้สถาบันตัดสินใจขายหุ้นออกมาหนักถึง -3,844.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้ดัชนีหุ้นดิ่งลงแรง 16.85 จุด คิดเป็น 1.10% ปิดที่ระดับ 1,519.13 จุด
จากการสำรวจ”บลจ.” ได้คำตอบว่า ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจขายหุ้นออกมามากในช่วงนี้ เพราะเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ถือโอกาสทำกำไร แต่ไม่จำเป็นต้องรีบขายหุ้น เพื่อเตรียมเงินไว้ชำระค่าหุ้น OR เพราะยังมีเวลา
นอกจากนี้ราคาหุ้นในตลาดที่ลดลงมาก อาจจะมีเงินเข้าซื้อกองทุนก็ได้ ทำให้มีเงินไปชำระค่าหุ้น IPO ซึ่งกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายภายในวันที่ 3 ก.พ.64 คาดว่าจะจบลงที่ 18 บาทต่อหุ้น
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) รายงานว่า นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศจะให้ความสนใจเข้าซื้อหุ้น OR และเป็นบวกต่อราคาหุ้น เพราะมีโอกาสสูงที่จะเข้าคำนวณใน SET50 เนื่องจากมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปสูงถึง 1.92-2.16 แสนล้านบาท คาดว่าจะมีขนาดใหญ่อยู่ในอันดับประมาณ 17-19 ของ SET50 สำหรับหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปอันดับสุดท้ายที่อยู่ใน SET50 คือ TTW รองมาเป็น COM7, VGI (ณ ราคาปิดวันที่ 13 ม.ค.64) ถ้า OR เข้ามาใน SET50 ก็มีโอกาสสูงที่ 1 ใน 3 อันดับสุดท้ายจะต้องออกไปจากการคำนวณดัชนี
ส่วนบริษัทปตท.( PTT) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 75% ใน OR หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นการ Unlock value เงินลงทุนของบริษัท ทำให้มีมูลค่าเงินลงทุนตามราคาตลาดสูงขึ้น สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ ในไตรมาสที่ 4/2563 ของปตท.คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากกำไรของหลายธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม คือ ก๊าซ ปิโตรเคมี และโรงกลั่น ที่ฟื้นตัวดีขึ้น (ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากกำไรสต็อก กำไรอัตราแลกเปลี่ยนและบริษัทไทยออยล์(TOP) มีกำไรจากการขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ก่อนภาษีสูงที่ 5.5 พันล้านบาทด้วย) ส่วนแนวโน้มปี 2564 คาดว่าจะยังไปได้ดี จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา
“เราชอบ PTT ที่มีธุรกิจพลังงานครบวงจร กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจดี โครงสร้างผู้ถือหุ้นแข็งแรง (กระทรวงการคลังถือหุ้น 51%) และจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ โดยให้ อัตราผลตอบแทนประมาณ 3.5-4% ต่อปี จึงแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 46.50 บาท”
อ่านข่าว