เซียนฟันธง !! ฟันด์โฟลว์ดันหุ้นไปต่อ เม็ดเงินอัดฉีดศก.หลังโควิด

HoonSmart.Com << กูรูหุ้นไทย มองตลาดปี 2564 ไปต่อได้ การอัดฉีดสภาพคล่องต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด และ เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย รวมทั้งนโยบายการค้าสหรัฐ ยุค “โจ ไบเดน” เป็นฟรีเทรด ส่งผลดีต่อการค้าโลก , การเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมไทย การเมืองไม่น่าห่วง

การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2563 ผ่านไปด้วยความยากลำบากของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 สาหัสหนักทุกอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 แม้จะบรรเทาเบาบางลงในตั้งแต่กลางไตรมาส 3 มาถึงไตรมาส 4 แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายส่งท้ายปี 2563 แล้วข้ามมาปี 2564 ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยืนปิดไม่ได้ 1,500 จุด อย่างที่คาดหวังได้เห็นกัน ซึ่งตลอดทั้งปี 2563 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ติดลบมากถึง -8.25 % เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งดัชนีปิดที่ 1,579.84 จุด

สำหรับปี 2564 ความหวังอยู่ที่วัคซีนป้องกันโควิด , มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 , การอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ หลังโควิด และอาฟเตอร์เทรดวอร์ ที่เปลี่ยนแปลงเป็นฟรีเทรด ยุค “โจ ไบเดน”

“เสี่ยป๋อง” เล่นตามเม็ดเงินต่างชาติ 

“เสี่ยป๋อง” วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ เปิดเผยว่า เทรนตลาดหุ้นต้นปี 2564 มองว่า เป็นช่วงที่ดี สำหรับการลงทุน จากปัจจัยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่เข้ามาต่อเนื่อง จากสภาพคล่องทั่วโลกอยู่ในระดับสูง และไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนปี 2563 ที่ผ่านมา “เสี่ยป๋อง” ชนะตลาดมีกำไรบ้างเล็กน้อย เทียบกับตลาดที่ติดลบกว่า -8%

“เสี่ยป๋อง” แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ตามการไหลของ Fund Flow แต่ลงทุนตามแนวคิดเดิม คือ ปัจจัยพื้นฐานกับราคาหุ้นต้องสอดคล้องกัน ปัจจุบันเห็นได้ว่าใช้ไม่ได้ แต่ด้วยแนวคิดใหม่ที่ว่า “ถ้ามี Fund Flow และความเชื่อมั่นนักลงทุน ยังไงตลาดหุ้นก็ขึ้น” เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ กราฟเทคนิคหุ้นสวย เป็นที่นิยมการลงทุน แนะนำแบ่งสัดส่วนพอร์ตเป็นหุ้นไทย 80% และหุ้นต่างประเทศ 10-20%

“ชัยพร ” มองเป้า SET 1,550 จุด

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 2564 จะดีขึ้นกว่าปีนี้ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ที่ฟื้นตามเศรษฐกิจต่างประเทศ และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย

ประเมินเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2564 ที่ 1,550 จุด อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) 18 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 86 บาท

สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ และรัฐบาลประคองการบริโภคในประเทศ การว่างงาน เพื่อรอผลวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะได้เริ่มใช้ในภูมิภาคเอเชียช่วงปีหน้า คาดว่าผลผลิตมวลรวมของประเทศไทย (GDP) จะเติบโต 4.4% จากปีนี้ที่คาดว่าจะ -6.1%

ขณะที่ปัจจัยหนุนดัชนีหุ้น ยังมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ คาดว่าจะยังคงซื้อสุทธิ เนื่องจากสภาพคล่องทั่วโลกยังอยู่ในระดับที่สูง จากการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ เห็นได้จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เพราะอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของประเทศไทย เมื่อลบกับอัตราเงินเฟ้อ ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก แตกต่างจากประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เป็นลบ

“ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงต้องใช้เวลาฟื้นตัวกว่า 6-12 เดือน แต่ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปรอก่อน เพราะนักลงทุนมีความคาดหวังเชิงบวก มองว่าปีหน้าตลาดหุ้นบ้านเราจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนปัจจัยเสี่ยงนั้นมีแค่เรื่องความล่าช้าวัคซีน และการปิดเมืองในกรณีเลวร้าย ซึ่งประเมินว่าโควิด-19 รอบนี้ไม่น่ากังวล เมื่อไหร่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มปรับลดลง ตลาดหุ้นไทยจะกลับมามั่นใจ และมีแรงซื้อกลับแน่นอน”

กลยุทธ์ลงทุน -เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย เน้นกลุ่มอิงการค้าโลก

นายชัยพร กล่าวถึง กลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการบริโภคในสหรัฐ และการค้าโลกที่เติบโต (กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มเดินเรือคอนเทรนเนอร์ ) ,กลุ่มธุรกิจสนับสนุนการบริโภคในประเทศ (กลุ่มร้านอาหาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการเงินบุคคล และกลุ่มพัสดุหีบห่อ) ,กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัคซีน (กลุ่มท่องเที่ยว การเดินทางทางอากาศ และบริการ) ,กลุ่มที่บริหารสินทรัพย์ด้อยค่า ติดตามหนี้ และกลุ่มการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี 5G

คัดหุ้น Top Picks ดังนี้ IVL ,PTTGC ,IRPC ,CRC ,CPN ,CPALL ,SCGP ,BAM ,CHAYO และJMT

นอกจากนี้ แนะนำปรับน้ำหนักการลงทุนใหม่ โดยลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก ไปเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นทั้งประเทศและต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่แนะนำลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทองคำ น้ำหนักการลงทุนเท่าเดิมที่ 10% และ 15% ตามลำดับ

“ประกิต” เมอร์ชั่น คิวอีทะลักตลาดหุ้นเกิดใหม่-ไทย 

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น กล่าวว่า การลงทุนปี 2564 ต้องมองภาพใหม่ของโลก ซึ่งปีนี้ เปลี่ยนจากสงครามการค้า เป็นฟรีเทรดในยุคของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ที่เน้นข้อตกลงทางการค้า ทำให้ปริมาณการค้าดีของโลกสูงขึ้น กำแพงภาษีลดลง

รวมทั้งนโยบายรัฐบาลกลางและนโยบายธนาคารกลางของแต่ละประเทศ จะหันมาใช้นโยบายขาดดุลครั้งใหญ่ พิมพ์ธนบัตรเพิ่มสภาพคล่อง หรือคิวอี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ผลดังกล่าวทำให้ค่าเงินโดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าหนัก ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น  และราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้น

” คิวอีแต่ละประเทศมีจำนวนมาก หลังอาฟเตอร์โควิด จากนโยบายขาดดุล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ที่ได้รับผลกระทบหนักจากโควิด ที่ผ่านมา 5 กองทุนขนาดใหญ่ของโลก ที่ลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่ แทบไม่ได้ลงทุนหุ้นไทย เมื่อคิวอีรุนแรง เงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ต้องมา จะเห็นว่า ช่วงก่อนปลายปี เครดิตสวิส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทย เงินฝรั่งไหลเข้าไม่หยุด และจะมีอีกหลายค่าย ที่รอปรับน้ำหนัก ตลาดหุ้นไทยที่จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา”

ล็อกดาวน์ไทยแค่บางพื้นที่เสี่ยงสูง

นายประกิต กล่าวถึง การล็อกดาวน์ประเทศไทย เป็นความเสี่ยงต่อการลงทุน ว่า ส่วนตัวนายประกิต ไม่เชื่อการล็อกดาวน์หลังปีใหม่ จากเหตุผล 3 ประการคือ 1.บทเรียนจากการล็อกดาวน์รอบแรกที่ผ่านมา เร็วเกินไป เกิดความเสียหายมาก ซึ่งการระบาดรอบใหม่ การล็อกดาวน์จะทำเป็นจุด ๆ ตามพื้นที่มีปัญหา

2. ไทยเห็นตัวอย่างต่างประเทศ เพื่อนบ้าน ที่เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาด อยู่ได้ โดยไม่ต้องล็อกดาวน์ประเทศ  และวัคซีนกำลังจะมา

3. การเมืองไทยของรัฐบาลนี้ คุมโทนการควบคุมได้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกเล็กที่ผ่านมาสะท้อนเป็นคนของรัฐบาลได้อยู่

” ตลาดหุ้นไทยขึ้นแน่นอน จากฟรีโฟลทซึ่งเป็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ ตลาดหุ้นไทย จะได้ประโยชน์มากที่สุดในตลาดเกิดใหม่ เพราะที่ผ่านมา การลงทุนของกองทุนใหม่ในตลาดหุ้นไทย แห้งมานาน ปีที่ผ่านมา EPS 46 บาท  ปี 2564  เพิ่มเป็น 76 บาท และปี 2565 คาดเป็น 90 บาท กลุ่มหุ้นที่โฟกัส พลังงาน ( BGRIM ) การเงิน MTC SAWAD BBL , CPALL , BEM , ADVANC ฯ ” นายประกิต กล่าวทิ้งท้าย