HoonSmart.com>>ธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย (THE BANK OF NOVA SCOTIA ) ของประเทศแคนาดา ตัดสินใจขายบิ๊กล็อตธนาคารทหารไทย (TMB) รวมกว่า 4,406 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ย1.14 บาท/หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,023.93 ล้านบาทเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2563 โดยขายต่ำกว่าราคาในตลาดที่ระดับ 1.19 บาท ประมาณ 4.4% และยังห่างจากต้นทุนที่ได้มาในราคา 1.1 เท่าของมูลค่าหุ้นตามบัญชี (บุ๊ก) ตอนทำดีลควบรวมธนาคารทหารไทยกับธนาคารธนชาตเมื่อต้นปี 2562 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 2562 บุ๊กของ TMB อยู่ที่ 2.34 บาท และวันที่ 30 ก.ย.2563 ลดลงมาอยู่ที่ 2.10 บาท
“โนวาสโกเทียเข้ามาลงทุนในกลุ่มธนชาตมานาน และพยายามหาทางออกมาหลายปี จนนำไปสู่การเกิดดีลประวัติศาสตร์ ควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของไทย ธนาคารทหารไทยเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมของธนชาต ตอนนั้นโนวาสโกเทียมีนโยบายชัดเจน ถือหุ้นธนาคารทหารไทยต่ำ เพียง 5% เท่านั้น เพื่อต้องการถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย ทุ่มกำลังไปขยายธุรกิจแถวละตินอเมริกาดีกว่า เมื่อมีจังหวะขายหุ้นให้กับนักลงทุนสถาบันในรอบนี้ ก็บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทราบโดยทั่วไปภายในแบงก์”
ดังนั้นธนาคารแห่งโนวาสโกเทียขายหุ้นออกครั้งนี้ จึงไม่มีผลกระทบต่อธนาคารทหารไทย เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังคงถือลงทุนต่อไป และทีมผู้บริหารก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
จากโครงสร้างผู้ถือหุ้น ธนาคารทหารไทย ณ วันที่ 9 ก.ค.2563 มี ING BANK N.V. ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 23.03% ตามด้วย บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) 20.12% ,กระทรวงการคลัง 11.79% ,โนวาสโกเทียถือ 5,023 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.21% , กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง โดยบลจ.กรุงไทย ถือหุ้น 5.11% และกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี ถือหุ้น 5.11%
สำหรับนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาซื้อหุ้น TMB ต่อจากโนวาสโกเทีย แม้ได้ราคาถูกมากๆๆๆ แต่จะต้องลงทุนระยะยาว เพราะธนาคารทหารไทยที่มีขนาดทรัพย์สินใหญ่เป็นอันดับที่ 6 เท่ากับ 1,201,457.97 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ต.ค.2563 ตามหลังธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) แต่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สินเชื่อขยายตัวต่ำ หนี้เสียมีโอกาสเพิ่มขึ้น กระทบต่อผลกำไร และมีผลต่อราคาหุ้นในที่สุด
ธนาคารทหารไทย มีกำไรสุทธิ 1,618.90 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 ลดลง 492.28 ล้านบาทคิดเป็นประมาณ 23% จากจำนวน 2,111.18 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 8,877.30 ล้านบาท เติบโตถึง 58% จากที่มีกำไรสุทธิ 5,607.34 ล้านบาท แต่คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 0.0921 บาท ลดลงประมาณ 28% จากกำไรต่อหุ้น 0.1279 บาทในช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ 4 ราย มีเพียง บล.บัวหลวงที่คาดการณ์ว่าธนาคารทหารไทยจะมีกำไรต่อหุ้นในปีนี้ เพิ่มขึ้น 22% เป็น 0.11 บาท ส่วนอีก 3 รายคือ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) บล.โนมูระ พัฒนสิน และบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มองกำไรต่อหุ้นลดลง 30-35% ปีหน้าถึงจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บล.ดีบีเอสฯยังคาดว่าจะลดลง 18% เหลือ 0.09 บาท จากปีนี้คาดจะมีกำไรต่อหุ้น 0.11 บาท แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมาย 1.30 บาท