HoonSmart.com>> “บลจ.บางกอกแคปปิตอล” มองวัคซีนต้านโควิด-19 หนุนตลาดหุ้นทั่วโลก ประเมินหุ้นไทยยังน่าลงทุนใน 3-5 ปีข้างหน้าตามเมกะเทรนด์หลักการเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางในอาเซียน ประเมินฟันด์ โฟลว์ ยังไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ หุ้นไทยต่อเนื่องถึงกลางปี 64 ชูหุ้นกลุ่มบริการ การแพทย์ อาหาร โดดเด่น แนะทยอยซื้อสะสมต่อเนื่อง พร้อมกระจายลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก เน้นหุ้นเอเชีย หุ้นจีน หุ้นเทคฯ พร้อมแนะนำกองทุน SSF-RMF ลดภาษีโค้งสุดท้าย ชูจุดเด่นจัดพอร์ตลงทุนจบกองเดียว
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล (BCAP) หรือบลจ.บีแคป เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้ายังน่าสนใจและเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จากเมกะเทรนด์หลักของการเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคในกลุ่มระดับกลาง (middle-income consumers) ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนเริ่มขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญด้าน ESG มากขึ้น ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่นักลงทุนสถาบันในยุโรปและสหรัฐฯ ใช้ประกอบการเข้าลงทุน อีกทั้งธุรกิจไทยมีความโดดเด่นด้านบริการ ท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะงานด้านบริการที่ประเทศอื่นแข่งขันได้ยาก ซึ่งปัจจุบันหุ้นกลุ่มบริการเติบโตขึ้นมากและมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 20% ของตลาดซึ่งเกือบเท่ากับหุ้นกลุ่มพลังงานและจะโตขึ้นต่อเนื่องเป็นผู้นำของตลาดหุ้นไทย ถึงแม้ไทยไม่มีธุรกิจเทคโนโลยีตามเมกะเทรนด์โลกก็ตาม
“ตอนนี้เรามอง Sentiment ตลาดหุ้นเป็นบวกจากความหวังเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ของประเทศพัฒนาแล้วที่น่าจะกระจายไปยังประชาชนได้ในไตรมาส 2-3 ปี 64 ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงขึ้น แต่ก็ยังผ่อนคลายลงจากวัคซีนที่เริ่มใช้แล้ว รวมทั้งนโยบายอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากธนาคารกลางต่างๆ ผ่าน QE อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังและสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับมาพูดถึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเงินสดที่ล้นระบบจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้บริษัทต่างๆ รักษากระแสเงินสดในมือ เมื่อวัคซีนมาเร็วกว่าคาดจึงเชื่อว่าเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้น”นายธนาวุฒิ กล่าว
ประเมินฟันด์โฟลว์ไหลเข้าถึงกลางปี 64
พร้อมกันนี้จึงมองแนวโน้ม Fund Flow ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีแรกของปี 64 ตามทิศทางเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยระยะสั้นตลาดอาจปรับฐานหลังจากปรับตัวขึ้นมามาก จึงแนะนำหาจังหวะในการซื้อสะสมและเลือกหุ้นที่ยัง Laggard
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า ถึงแม้ราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกระแสเงินสดและรายได้ในอนาคตเชื่อว่ายังสนับสนุนให้ราคาไปต่อได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังน่าสนใจ แต่การลงทุนต้องเลือกและลงทุนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน โดยมองจีนและเอเชียมีความมั่นคงและบริหารสถานการณ์ได้ดีในช่วงที่ผ่านมาจึงจะฟื้นตัวได้เร็ว
ส่วนยุโรปไม่ได้มองบวกมากนัก เนื่องจากมาตรการอัดฉีดเงินไม่ได้มากและการจัดการโควิด-19 ยังไม่ค่อยดี ขณะที่สหรัฐฯ ยังมองบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องระมัดระวังเนื่องจากราคาหุ้นขึ้นจากประเด็นโควิด-19 ไปมากจึงควรโฟกัสไปที่หุ้นวัฎจักร
สำหรับประเทศไทยยังต้องอาศัยภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงอาจจะกลับมาได้ช้าในรอบนี้ แต่หากมองระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจและเติบโตได้
จัดพอร์ตกระจายลงทุนเน้นหุ้นจีน-เอเชีย-หุ้นเทคฯ
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนแนะนำกระจายลงทุนทั่วโลกในสัดส่วนเท่ากัน โดยเน้นหุ้นเอเชีย จีน ซึ่งมองว่าจะกลับมาเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจโลก รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยียังเติบโตได้อีกมาก รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี AI และ 5G ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตของจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนหุ้นไทยมองหุ้นบิ๊กแคป หุ้นวัฏจักร กลุ่มพลังงานปีหน้ายังดีจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
“เรามองเมกะเทรนด์ winner ทางธุรกิจในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่ง winner ทุกวันนี้คือ Tech Player ทั้งหมด ซึ่งใครเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ทำให้กำไรเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย เป็นธีมหลักในการลงทุนระยะยาว เนื่องจากมองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากหุ้นทั่วโลกจะลดลงจากในอดีต ดังนั้นธุรกิจที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้วทำให้กลายเป็น winner จึงเป็นธีมที่เราจะลงทุน โดยเน้นที่ Thematic Themes การลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรม”นายธนาวุฒิ กล่าว
สำหรับแผนธุรกิจในปี 64 เตรียมออก 4 กองทุนบน 3 ธีมการลงทุน ได้แก่ เทรนด์ที่ทำให้คนมีอายุยาวขึ้น, เทรนด์ที่อำนวยความสะดวกให้คนอยู่สบายได้มากขึ้นและเทรนด์ที่ทำให้โลกยั่งยืน
ชูกองทุนลดภาษีตอบโจทย์ในกองเดียว
นายธนาวุฒิ กล่าวถึงนักลงทุนที่มองหากองทุนประหยัดภาษีผ่านกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) บริษัทฯ นำเสนอการลงทุนผ่าน BCAP Solutions-Based โดยกำหนดตามความเสี่ยงที่รับได้และกำหนดตามปีที่จะเกษียณ ซึ่งแตกต่างจากบลจ.อื่นโดยมีการจัดพอร์ตลงทุนอยู่ในกองเดียว กระจายการลงทุนครอบคลุมสินทรัพย์ทั่วโลก สามารถตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวได้
สำหรับกองทุน SSF แนะนำกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP-GW-SSF) แบ่งเป็นซีรีส์ของ 5 กองทุนตามระดับความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่ไม่เกิน 10-90% ได้แก่ BCAP-GW10 SSF, BCAP-GW25 SSF, BCAP-GW50 SSF, BCAP-GW75 SSF และ BCAP-GW90 SSF
ส่วนกองทุน RMF แนะนำกองทุน BCAP Global Target Date (RMF) ปรับสัดส่วนการลงทุนอัตโนมัติให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุของผู้ลงทุนผ่าน 3 ทางเลือกกองทุนที่ลงทุนตามปีเกษียณ ได้แก่ BCAP-2050 RMF, BCAP-2040 RMF, BCAP-2030 RMF
“เราออกแบบกองทุนประหยัดภาษีที่แตกต่างจากคู่แข่ง ไม่เน้นออกกองทุนเยอะ แต่เน้นกองเดียวและจบ มีการจัดพอร์ตกระจายลงทุนและผู้จัดการกองทุนปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงในกองทุน SSF และปรับตามอายุเกษียณของกองทุน RMF ซึ่งหากผู้ลงทุนมีอายุต่ำกว่า 45 ปีแนะนำซื้อกองทุน SSF เพราะลงทุน 10 ปี เมื่อครบสามารถขายคืนและนำเงินมาซื้อกองทุนเพื่อประหยัดภาษีได้อีกรอบ ถ้าอายุเกิน 45 ปีก็เหมาะกับกองทุน RMF ขายคืนได้เมื่ออายุ 55 ปี”นายธนาวุฒิ กล่าว
อ่านข่าว
“บีแคป” มองหุ้นเทคฯ จีนโตอีกไกล ชู BCAP-CTECH ครอบคลุมหุ้นมากสุด ค่าฟีต่ำ
BCAP เปิดตัว 5 กองทุน ‘บีแคป โกลบอล เวลท์’ ลงทุนทั่วโลกตอบโจทย์ทุกกลุ่ม