HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทย ปรับเป้าหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้า 1,510 จุด จาก 1,390 จุด รับสถานการณ์การค้าสหรัฐฯ-จีนพัฒนาดีขึ้น วัคซีนคืบหน้า เงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ เปิด 7 ธีมการลงทุน-10 หุ้นเด่นปี 64 ชี้เป้า KTB-BAM-PTTGC-PSL-BDMS-CPN-MINT-GPSC-DOHOME-BLA
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ปรับเพิ่มเป้าหมาย SET Index 12 เดือนเป็น 1,510 จุดจาก 1,390 จุด แม้ช่วงเดือนที่ผ่านมา SET Index จะปรับเพิ่มขึ้นสูง แต่ยังเล็งเห็นแนวโน้มเชิงบวกที่ดำเนินไปถึงปี 2564 ขณะที่มองว่า upside ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมจะมาจากสถานการณ์ด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่พัฒนาดีขึ้น และโอกาสการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์
ทั้งนี้ เป้าหมาย SET Index ที่ 1,510 จุด นั้นสอดคล้องกับประมาณการกำไรที่สะท้อนผ่านราคาเป้าหมายที่บล.กสิกรไทย ให้กับกลุ่มบริษัทฯ ที่วิเคราะห์อยู่ สำหรับกรอบระยะสั้น คาดว่า SET จะเคลื่อนตัวในกรอบ 1,377 จุด และ 1,474 จุด
บล.กสิกรไทย มีมุมมองเป็นบวกต่อสินทรัพย์ประเภทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (EMs) ที่จะได้ประโยชน์จากสภาวะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง รวมถึงพัฒนาการด้านวัคซีนต้านโควิด-19 และสภาพการค้าโลกที่ดีขึ้น ขณะที่ทองคำจะยังเผชิญกับแรงกดดันจากโอกาสที่เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) อาจชันตัวขึ้น และอุปสงค์การลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยที่น้อยลง
นอกจากนี้ พบว่าดัชนีความผันผวน เช่น VIX ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ไบเดนชนะเลือกตั้งและการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นกลุ่ม EMs
ขณะที่วิกฤตโควิด-19 กดดันให้กลุ่มบริษัทไทยต้องบริหารจัดการโครงสร้างทางต้นทุนของตนอย่างเข้มงวด โดยบล.กสิกรไทย พบว่า “BDMS CPN และ MINT” เป็น 3 บริษัทฯ ที่บล.กสิกรไทยเห็นว่ามีการพัฒนาด้านค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) และอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการที่ดีขึ้นเมื่อทิศทางรายได้กลับสู่ระดับปกติในปี 2564 เพราะคาดว่าเมื่อถึงตอนนั้น SG&A จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อมุมมองเชิงบวกของบล.กสิกรไทย คือ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนและความพร้อมด้านวัคซีนต้านโควิด-19 ปรับดีขึ้น อีกปัจจัยเสี่ยงคือประเด็นการเมืองภายในประเทศที่อาจมีพัฒนาการในเชิงลบมากขึ้น
สำหรับธีมการลงทุนในปี 2564 เลือกหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ หุ้นรายตัวที่ชอบ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ราคาเป้าหมาย 11.20 บาท เนื่องจาก Yield curve ที่ชั้นขึ้น คุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้นและการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุมัติให้กลุ่มธนาคารจ่ายเงินปันผลได้คือปัจจัยบวกต่อกลุ่ม
กลุ่มบริหารจัดการทรัพย์สิน (AMCs) ได้แก่ หุ้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท โดยคาด BAM จะรายงานกำไรที่ฟื้นตัวขึ้น 110% YoY ในปี 2564 จากการเรียกเก็บเงินสดที่ดีขึ้นและจากการขายทรัพย์สินขนาดกลางถึงใหญ่
กลุ่มที่อิงวัฏจักรโลก ได้แก่ หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ราคาเป้าหมาย 63.00 บาท และพรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เป้าหมาย 6.50 บาท จากความพร้อมของวัคซีนโควิด-19 จะหนุนการฟื้นตีวของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ที่มองว่าจะเป็นปัจจันบวกต่อหุ้นที่อิงวัฏจักรโลก ได้แก่ กลุ่มน้ำมันและก๊าซ กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มขนส่ง
กลุ่มประหยัดต้นทุน ได้แก่ หุ้นบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ราคาเป้าหมาย 24.40 บาท หุ้นบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เป้าหมาย 59.00 บาทและหุ้นบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เป้าหมาย 21.60 บาท โดยก่อนหน้านี้บริษัทเหล่านี้ได้ดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนภายในอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 20-50% YoY ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเชื่อว่าจะหนุนผลการดำเนินงานให้ปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อรายได้เริ่มฟื้นตัวในปี 2564 เพราะคาดว่าเมื่อถึงตอนนั้น SG&A จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
กลุ่มพลังงานสะอาด ได้แก่ หุ้นบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราคาเป้าหมาย 79.50 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของบล.กสิกรไทยสำหรับธีมนโยบายพลังงานสะอาดของไบเดน GPSC กำลังเพิ่มสัดส่วนโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศมากขึ้น หลังจากขายหุ้น 50% ใน GRP ให้กับ PTT ไปเมื่อเดือนก่อน โดย GRP มีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตประเภทพลังงานทดแทนที่ 8,000 MW ภายในปี 2573
กลุ่มที่อิงปัจจัยต่างจังหวัด ได้แก่ หุ้นบริษัท ดูโฮม (DOHOME) ราคาเป้าหมาย 16.30 บาท คาดว่ารายได้เกษตรกรจะฟื้นตัวขึ้นจากผลผลิตด้านการเกษตรที่ดีขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นอิงการบริโภคในต่างจังหวัดในระดับสูง
กลุ่มที่กันความเสี่่ยงต่อ yield curve ที่อาจชันตัวขึ้น ได้แก่หุ้นบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท มองว่าในระยะกลาง yield curve อาจชันตัวขึ้นจากอุปทานพันธบัตรที่มีมากขึ้น หลังจากรัฐบาลมีโครงการการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ประกอบกับสภาวะขาดแคลนรายได้ ซึ่ง yield curve ที่ชันขึ้นจะเป็นบวกต่อ BLA จากรายได้การลงทุนที่จะสูงขึ้น ขณะที่จะช่วยขจัดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายการบันทึกกลับของสำรอง (LAT reserve)
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยได้ถอนหุ้น AAV, AMATA, TOP, MTC, CBG, BBL และ TISCO ออกจากรายชื่อหุ้นเด่น แม้จะยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเหล่านี้ในระยะกลาง