STGT หุ้นระเบิด! รับข่าวดี 5 เด้ง กำไรนิวไฮ-ปันผล-แตกพาร์-เข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์

HoonSmart.com>>”ศรีตรังโกลฟส์” สุดยอด กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง 4,401 ล้านบาท ไตรมาส 3/63 พุ่งขึ้น 3,464% จากปีก่อน ทะยาน 316% จากไตรมาส 2  รายได้นิวไฮ บอร์ดใจดีแจกปันผลระหว่างกาล  1.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 1.66%  แตกพาร์จากหุ้นละ1 บาท เป็น 0.50 บาท  ศึกษาและเตรียมการนำหุ้น STGT เข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์เป็นแห่งที่ 2 คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จไตรมาสที่ 2 ของปี 2564  ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจาก STA บริษัทย่อย ขยายกำลังการผลิตโรงงานสะเดา-ชุมพร

บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เปิดผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2563 มีกำไรสุทธิ 4,401.92 ล้านบาท พุ่งขึ้น 4,278.43 ล้านบาท หรือ 3.464.60%จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเพียง 123.49 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 3,345.16 ล้านบาท คิดเป็น 316.55% จากที่มีกำไรสุทธิ 1,056,76 ล้านบาทในไตรมาส 2/2563

ส่วนผลงานรวม 9 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,880.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,427.33 ล้านบาท หรือ 1,197.43% จากที่มีกำไรสุทธิเพียง 453.25 ล้านบาทในปีก่อน

บริษัทมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง จากความต้องการบริโภคถุงมือยางเติบโตอย่างโดดเด่น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกเฉลี่ย อยู่ที่ 255,300 รายต่อวัน จากค่าเฉลี่ยที่ 104,188 รายต่อวันในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และความต้องการถุงมือยางที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงจำเป็นสำหรับการใช้งานในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก สวนทางกับกำลังการผลิตและวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ราคาขายของถุงมือยางในตลาดโลกเติบโตก้าวกระโดดอยู่ที่ 1,140 บาทต่อพันชิ้น ขยายตัว 73.2% จากไตรมาสที่ 2 และ 89.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนให้บริษัทสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งถึง 8,142 ล้านบาทขยายตัว 169.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 67.6% จากไตรมาส 2

ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 4,907.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 1,421.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและ 246.2% จากไตรมาสที่ 2 คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 60.3% จาก 29.2%ในไตรมาสที่ 2 และ 10.7% ในไตรมาสที่ 3/2563

กำไรที่ดีขึ้นมาก ส่งผลให้คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 1,785.96 ล้านบาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 30 พ.ย.2563 กำหนดจ่ายเงินวันที่ 9 ธ.ค.2563 และเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 1 บาท เหลือ 0.50 บาท

นอกจากนี้บอร์ดยังอนุมัติให้เข้าศึกษาและเตรียมการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์บนกระดานหลัก นับเป็นแห่งที่สอง โดยบริษัทไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นออกใหม่ บริษัทคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการขยายฐานของผู้ถือหุ้นให้มีความหลากหลาย และทำให้บริษัทมีช่องทางในการระดมทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งสร้างชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในภูมิภาค โดยคาดว่าจะจดทะเบียนแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564

บอร์ดยังอนุมัติการเข้าทำรายการซื้อหุ้นของบริษัท พรีเมียร์ซิสเต็มเอ็นจิเนียริ่ง (PSE) จำนวน 83.9992% จากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของและจำนวน 80,000 หุ้น หรือ 16% จากบริษัท รับเบอร์แลนด์โปรดักส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STA รวมทั้งสิ้น 99.99% ในราคาซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1,120 ล้านบาท การเข้าลงทุนในบริษัท สะเดา พี.เอส.รับเบอร์ จำนวน 399,994 หุ้น คิดเป็น 99.99% ในราคารวม 147 ล้านบาท และซื้อที่ดินกว่า 34 ไร่ ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท อันวาร์พาราวูด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STA ในราคา 69.21 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตโรงงานสาขาสะเดา ซึ่งเป็นโครงการในอนาคต  และอนุมัติการเข้าซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก STA เนื้อที่กว่า 334 ไร่ ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ในราคาทั้งสิ้น 177 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตโรงงานชุมพร ซึ่งเป็นโครงการในอนาคต แต่ยังไม่ได้ระบุผู้ขาย

บริษัท STGT นำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2563 เสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 34 บาท  โดยราคาหุ้นขึ้นสูงสุดถึง 94.50 บาท และต่ำสุดที่ 55.25 บาท ล่าสุดวันที่ 13 พ.ย.ปิดที่ 75.25 บาท +3.25 บาทหรือ +4.51% ทั้งนี้เงินปันผลที่หุ้นละ 1.25 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 1.66%