HoonSmart.com>> “ศรีตรังโกลฟส์” ทุบสถิติรายได้-กำไรนิวไฮไตรมาส 3/63 โชว์กำไรสุทธิ 4,401 ล้านบาท ทะยานกว่า 4,114% ความต้องการถุงมือยางพุ่ง ท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั่วโลก บอร์ดไฟเขียวปันผล 1.25 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD 27 พ.ย.นี้ พร้อมแตกพาร์หุ้นจาก 1 บาท เป็น 0.50 บาท ศึกษานำหุ้นเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 สิ้นสดวันที่ 30 ก.ย.2563 กำไรสุทธิ 4,401.92 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.08 บาท เติบโต 4,113.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 123.48 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท และเติบโต 316.5% จากไตรมาส 2/2563
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 5,880.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.16 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 453.25 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.66 บาท
บริษัทชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง เติบโต 4,113.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการในการบริโภคถุงมือยางที่ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลก โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ (New Case) ทั่วโลกเฉลี่ยในไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 255,300 รายต่อวัน จากค่าเฉลี่ยที่ 104,188 รายต่อวัน ในไตรมาส 2/2563 อีกทั้งความต้องการบริโภคถุงมือยางที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากการเกิดขึ้นของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ถุงมือยางเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงจำเป็นสำหรับการใช้งานในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก
ด้วยเหตุนี้ ความต้องการในการใช้ถุงมือยางซึ่งเป็นอุปกรณ์ PPE ขั้นพื้นฐานยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังการผลิตและวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ราคาขายของถุงมือยางในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากตามความต้องการในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง หนุนให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งถึง 8,142.1 ล้านบาท ขยายตัว 169.9% จากงวดปีก่อนและ 67.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ตลอดจนทำกำไรสุทธิสูงสุดของบริษัทฯ ต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค-30 ก.ย.2563 และกำไรสะสม อัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งหมดไม่เกิน 1,785.97 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 30 พ.ย. 2563 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 27 พ.ย. 2563 และจ่ายเงินปันผล วันที่ 9 ธ.ค. 2563
นอกจากนี้มีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (PAR) จาก 1.00 บาท/หุ้น เป็น 0.50 บาท/หุ้น ซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิม 1,434.78 ล้านหุ้น เป็น 2,857.56 ล้านหุ้น โดยทุนจดทะเบียนชำระแล้วคงเดิม
คณะกรรมการยังได้อนุมัติให้บริษัทฯ ศึกษาและเตรียมการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์บนกระดานหลัก (Main Board) ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยบริษัทฯ จะไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จะส่งผลให้เกิดการขยายฐานของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ให้มีความหลากหลาย และทำให้บริษัทฯ มีช่องทางในการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งเป็นการสร้างชื่อเสียง และทำให้บริษัทฯ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในภูมิภาค
หากบริษัทฯ ดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ บริษัทฯ คาดว่าการจดทะเบียนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่สองของปี 2564 อย่างไรก็ตาม การศึกษาและเตรียมการสำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและอยู่ภายใต้ปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ซึ่งรวมถึงการหารือและการได้รับอนุมัติต่างๆ จากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยบริษัทฯ จะประกาศให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไปตามความเหมาะสม เมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนดังกล่าว
นอกจากนี้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท พรีเมียร์ซิสเต็มเอ็นจิเนียริ่งจากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี และบริษัท รับเบอร์แลนด์โปรดักส์ จำนวน 83.9992% มูลค่า 1,120 ล้านบาท รวมทั้งซื้อหุ้นสามัญในบริษัท สะเดา พี.เอส. รับเบอร์ จากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำนวน 99.9985% มูลค่า 147 ล้านบาท พร้อมทั้งซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท อันวาร์พาราวูด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี มูลค่า 69.21 ล้านบาทและซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี มูลค่า 177.47 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ซื้อ” STGT ราคาเป้าหมาย 103 บาท บริษัทรานงานกำไรปกติจำนวน 4.3 พันล้านบาท (+307% QoQ, +4,200% YoY) ทำระดับสูงสุดตลอดกาล และดีกว่าคาด 36% และจะทำ New high ได้ต่อในไตรมาส 4/63 ซึ่งการจ่ายปันผลเงินสด 1.25 บาท/หุ้น อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.7% และปรับแผนเพิ่มกำลังการผลิตเร็วขึ้นอีก 2 ปี
อ่านข่าว