HoonSmart.com>> “ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี” อวดกำไรไตรมาส 3/63 จำนวน 2,084 ล้านบาท โตแรง 1,442% จากงวดปีก่อน ธุรกิจถุงมือยางกำไรนิวไฮ กวาดรายได้ 16,496 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% หนุน 9 เดือนกวาดกำไร 4,032 ล้านบาท บอร์ดเคาะปันผล 0.50 บาท ขึ้น XD 26 พ.ย.นี้
บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 สิ้นสดวันที่ 30 ก.ย.2563 กำไรสุทธิ 2,084.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.36 บาท เติบโต 1,442.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 135.10 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.09 บาท และเติบโต 90.6% จากไตรมาส 2/2563
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 4,032.26 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.63 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 222.54 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.14 บาท
บริษัทฯ ชี้แจงกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมจาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจถุงมือยางและธุรกิจยางธรรมชาติ อยู่ที่ 16,496.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 8.1% จากไตรมาส 2/2563 โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจถุงมือยาง ที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยโดยในไตรมาส 3/2563 ปริมาณการขายถุงมือยาง เติบโต 40.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4.5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากติดปัญหาความแออัดของการขนส่งทางทะเล ขณะที่บริษัทฯ ยังคงการผลิตอย่างเต็มศักยภาพของเครื่องจักร
สำหรับธุรกิจยางธรรมชาติ รายได้อ่อนตัวสอดคล้องกับราคายางธรรมชาติในตลาดโลกในช่วงปลายเดือนเม.ย. – ปลายเดือนก.ค.ที่คำสั่งซื้อส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของบริษัทฯ จะมีการตกลงกัน 2-3 เดือนล่วงหน้าก่อนการส่งมอบ ขณะที่ในเดือนส.ค. จนถึงสิ้นไตรมาส 3/2563 ราคายางธรรมชาติในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้ต้นทุนวัตถุดิบที่บันทึกในงบการเงินในลักษณะของต้นทุนเฉลี่ยต้องปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และจากสถานการณ์ที่กดดันทั้งราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบ บริษัทฯ จึงตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับการดำเนินกลยุทธ์ในการขายแบบเลือกสรร (Selective Selling) ในการให้ความสำคัญกับการรักษาอัตราการทำกำไรมากกว่าปริมาณการขาย โดยในไตรมาส 3/2563 บริษัทฯ มีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติรวม 214,873 ตัน ปรับลดลง 21.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 10.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ
ด้านการเติบโตของธุรกิจถุงมือยางสร้างสถิติใหม่ในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจยางธรรมชาติสามารถประคองตัวได้ดี ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน ส่งผลให้อัตรากำ ไรขั้นต้นของบริษัทฯ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจาก 6.3% ในไตรมาส 3/2562 และ 16.2% ในไตรมาส 2/2563 เป็น 34.1% ในไตรมาสนี้ ตลอดจนต้นทุนทางด้านการเงินที่ลดลง จากการคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนดชำระ ประกอบกับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สะท้อนให้เห็นจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ปรับลดลง
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2563 อนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 ก.ย.2563 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท เป็นเงินรวม 768 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date)ในวันที่ 27 พ.ย.2563 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 26 พ.ย. 2563 และจ่ายเงิน 9 ธ.ค.2563
นอกจากนี้อนุมัติการขายเงินลงทุนในหุ้นบริษัท พรีเมียร์ซิสเต็มเอ็นจิเนียริ่ง (PSE) ให้แก่ STGT รวม 99.9992% ในราคาขายรวมทั้งสิ้น 1,120 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของ STGT ทำให้เกิดความชัดเจนในการถือหุ้น ลดความซ้ำซ้อนของการทำรายการระหว่าง และขายหุ้นบริษัท สะเดา พี.เอส.รบัเบอร์ (PS) ทั้งหมด 99.9985% ให้ STGT มูลค่า 147 ล้านบาท
พร้อมกันี้อนุมัติขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของบริษัท อันวาร์พาราวูด (ANV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยให้แก่ STGT จำนวน 3 แปลงติดต่อกัน เนื้อที่รวม 34 ไร่ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ราคาขายทิ้งสิ้น 69.21 ล้านบาทและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 12 แปลงเนื้อที่รวม 334 ไร่ อำเภอปะทิว จังวัดชุมพร ราคา 177.47 ล้านบาท ทั้งนี้ ทั้ง 4 รายการคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนม.ค.2564
อ่านข่าว
STGT กำไรนิวไฮ 4,401 ลบ. ปันผล-แตกพาร์ เล็งนำหุ้นเทรดตลาดสิงคโปร์