HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัสมองหุ้นไทยพ้นปากเหว เป้าดัชนีสิ้นปี 1,424 ให้แนวรับ 1,060 ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.25% เม.ย.นี้ ชูจุดเด่น ถูก แจกปันผล 4.4%โครงสร้างรายได้บจ.ต่างจาก GDP ประเมินสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า 36% กระทบกำไรต่อหุ้นหนักสุดแค่ 0.95 บาท น้อยมากเทียบเป้า 89 บาท เชียร์ SCC,CPALL,BDMS,WHA,KCE,CK,AP,SCGP,BBL แนะซื้อตราสารหนี้ ถือทองแค่ 5% ราคาพุ่งแรงเกินไป วันนี้บวกต่อ 1,250 บาท หุ้นดีดกลับ 9 จุด ไม่สนดาวโจนส์ดิ่ง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รุนแรงเป็นประวัติการณ์หลังตอบโต้กันไปมา แข่งกันปรับขึ้นภาษีนำเข้าสูง เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีแรก ทำให้สหรัฐเสี่ยงถดถอยเพิ่มมากขึ้น จากการสำรวจ CEO คาดจะเกิดขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจโลกโตต่ำกว่า 3 % ส่วนไทยต่ำกว่า 2 % โดยไตรมาสแรกขยายตัวสูงกว่า 3% แต่อย่าดีใจเพราะฐานสูง ขณะที่ไตรมาส 2 และ 3 ส่งออกชะลอและไม่มีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ GDP ลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส เป็นการถดถอยทางเทคนิค จากสถิติที่ผ่านมาเกิดขึ้น 4 ครั้ง กดดันดัชนีหุันปรับตัวลง 5-8% แต่รอบนี้หุ้นไทยร่วงลงแรงล่วงหน้าแล้ว ต่ำสุดแถว 1,060 จุด เมื่อถึงเวลาเกิดขึ้นจริง หุ้นลดลงบ้างแต่จะไม่ทรุดลงหนักเหมือนในอดีต
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐกับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน อาจทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงสั้นได้ ซึ่งไทยมีจุดเด่นที่มูลค่าน่าสนใจ PBV เพียง 1 เท่า และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 4.4% สูงติดอันดับของโลก นอกจากนี้จากการประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีถึง 36% จะมีผลต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดน้อยมากราว 0.38-0.95 บาท เทียบกับบล.เอเซียพลัสคาดไว้ทั้งปีที่ 89 บาท ทั้งนี้ประเมินจากยอดขายของบจ.7 กลุ่ม น่าจะลดลงราว 1.3%คูณอัตรากำไรสุทธิที่ 2-5% แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแล เพิ่มกรอบวินัยการคลัง จากหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP ให้สูงขึ้นและน่าจะเห็น กนง.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.75% ในการประชุมรอบ 30 เม.ย.2568 และยังมีโอกาสลดลงมากกว่า 1 ครั้ง
” เราให้เป้าหมายหุ้นในปีนี้ที่ 1,424 ให้แนวรับทางพื้นฐาน 1,060 กรณีธปท.ลดดอกเบี้ย 0.25% เม.ย.นี้ ส่วนจุดต่ำสุดมองไว้ 1,056-1,060 จุด น่าจะเอาอยู่ ยกเว้นไทยก่อเรื่องเอง ส่วนไตรมาสที่ 2 ให้แนวต้านไว้ที่ 1,160 – 1,180 จุด และแนวรับที่ 1,060 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นอันดับ 1 อุตสาหกรรมที่เห็นว่าแข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากกว่า 3% กำไรปี 68-69 โตต่อเนื่อง และมีเงินสดในมือสูง เรทติ้ง ESG มากกว่าหรือเท่ากับ A เลือก SCC,CPALL,BDMS, WHA,KCE, CK,AP,SCGP,BBL”
สำหรับการลงทุนหุ้นต่างประเทศ นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บล.เอเซียพลัส แนะนำเน้นหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี อย่าง กลุ่ม Domestic, Defensive, Dividend รับแรงเสียดทานได้ดี เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต อาทิ China Mobile, Coca-Cola,Costco, Eli Lilly, Fast Retailing, Giant Biogene, Gree, Electric, Midea, Netflix, Tingyi, Walmart, Sea Limited ส่วนดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงมาก ท่ามกลางดัชนีความกลัวสูงขึ้น โดยมีเงินเยน และสวิสฟังก์ เป็น safe haven ทั้งนี้คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ด้านนางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้น นำเงินพักในตลาดตราสารหนี้ถึง 50000 ล้านบาท รับผลตอบแทนกนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ส่วนหุ้นกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในปีนี้ มูลค่า 686,004 ล้านบาท เป็นของบริษัทที่ทำธุรกิจการเงินมากที่สุด ตามด้วยอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอสังหาฯมีการออกใหม่และซื้อต่อลดลง แต่โชคดีที่บริษัทมีเครดิตไลน์กับธนาคารพาณิชย์ จึงมีสภาพคล่องเพียงพอ
ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 10,297 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีนี้ และมีการซื้อเพิ่มมาจนถึงวันนี้ ซื้อสุทธิ 57,000 ล้านบาท เป็นการขายหุ้นเข้ามาพักจริง ส่วนใหญ่เข้าระยะยาวมากกว่า 1 ปี มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงมากมาย กดดันยีลด์ระยะสั้นให้โงหัวไม่ขึ้น แต่ตลาดพร้อมดีดตัวกลับอย่างเร็วและแรงเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของดอกเบี้ย
“แนะนำให้เลือกซื้อตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าต้องการเทรดดิ้งแนะใตราสารหนี้ภาครัฐ อายุไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าต้องการซื้อเพื่อถือ แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตสูง ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม , การแพทย์ , ธุรกิจการเกษตร”
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 22 เม.ย.68 ดัชนีปิดที่ 1,144.05 จุด เพิ่มขึ้น 9.34 จุด หรือ +0.82% มูลค่าซื้อขาย 35,739.07 ล้านบาท สวนทางตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงแรง ดาวโจนส์ดิ่ง 971 จุด วิตกทรัมป์กดดันเฟดลดดอกเบี้ย
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 123 ล้านบาท นักลงทุนไทยซื้อ 290.30 ล้านบาท ส่วนสถาบันขายสุทธิ 356.95 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี กล่าวว่า ดหุ้นวันนี้ฟื้นตัวขึ้น รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่ม Domestic ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้า, ค้าปลีก และโรงพยาบาล จากแรงเก็งกำไร ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
สำหรับทองคำ ราคายังปรับตัวขึ้นทำ All time high จ่อ 3,500 ดอลลาร์ ทำให้ราคาในประเทศปรับัตวขึ้นแรงตาม สมาคมค้าทองคำปรับราคาถึง 36 ครั้ง ราคาเพิ่มขึ้นบาทละ 1250 บาท ทองคำแท่งรับซื้อ 54,350 บาท ขายออก 54,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อ 53,378.36 บาท ขายออก 55,250 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.20 บาท/ดอลลาร์

