CPALL ไตรมาส 3 กำไร 3,998 ลบ. ร่วง 29%

HoonSmart.com>> “ซีพี ออลล์” ไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิ 3,998 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดปีก่อน ผลกระทบโควิด พายุฉุดรายได้ลด 3.8% เหลือ 1.35 แสนล้านบาท บล.คิงส์ฟอร์ด แนะ “ซื้อ” เป้า 82.25 บาท ผลดำเนินงานฟื้นตัวจากไตรมาส 2/63 มองระยะยาวปัจจัยบวกจากเปิดร้าน 7-11 ในกัมพูชาและลาวหนุน

บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2563 กำไรสุทธิ 3,997.70 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.42 บาท ลดลง 28.76% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 5,611.83 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.60 บาท

งวด 9 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 12,529.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.31 บาท ลดลง 22.54% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 16,175.63 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.72 บาท

ในไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 135,500 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.8% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวลดลงของรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ เป็นผลกระทบต่อเนื่องจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าการบริโภคภายในประเทศหดตัวน้อยลง
จากผลของการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ แต่มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศยังมีอยู่ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามา อีกทั้งผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่วนหนึ่งจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบเชิงลบจากพายุฝนที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในระหว่างไตรมาส ส่งผลให้จำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลง ขณะที่รายได้จากการขายและบริการของ
ธุรกิจค้าส่งแบบชำระเงินสดและบริการตนเองในประเทศสามารถกลับมาเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงรายได้จากการขายของธุรกิจในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น

ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 74,307 ล้านบาท ลดลง 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมเท่ากับ 27,307 ล้านบาท ลดลง 2.1% จากปีก่อน โดยบริษัทดำเนินการควบคุมการใช้จ่ายอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด แนะ ซื้อ CPALL ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 82.25 บาท เนื่องจากมองว่ามีปัจจัยบวกระยะยาวจากการได้รับสิทธิแฟรนไชส์เปิดร้าน 7-11 ในกัมพูชาและลาว เช่นเดียวกับการลงทุนใน เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. (พึ่งได้รับอนุญาตจาก กขค. เมื่อต้นเดือนพ.ย. เป็นการอนุญาตแบบมีเงื่อนไข)

ขณะที่ระยะสั้นได้ปัจจัยบวกอ่อนๆจากข่าวความคืบหน้าการผลิตวัคซันของ Pfizer (นักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น-มีจำนวนการเข้าใช้บริการ7-11ต่อร้านต่อวันสูงขึ้น) รับผลบวกทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค/ช่วยเหลือของภาครัฐ

นอกจากนี้กำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 แม้จะลดลง 28.76% เมื่อเทียบงวดปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 38.47% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนฟื้นตัวจากการสัญจรของคนและรถที่เข้าสู่ระดับปกติ สาขาในปั๊มของ 7-11 คิดเป็นราว 15% ของจำนวนสาขาทั้งหมด