ทริสคงเครดิต QH ที่ระดับ A-

ทริสคงอันดับเครดิต QH และหุ้นกู้ที่ “A-” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” เจ้าตลาดบ้านจัดสรรระดับกลางถึงสูง การเงินมีความยืดหยุ่น ห่วงรายได้และยอดขายลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาแข่งขันสูง

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QG) ที่ระดับ “A-” สะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และความยืดหยุ่นทางการเงินที่มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง โดยถือหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ 19.9% บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป 13.7% กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์ 25.7% และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ 31.3% ณ เดือนมี.ค. 2561 เงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 44,872 ล้านบาท โดยบริษัทได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนอีกประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปีด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตสะท้อนความกังวลของทริสฯเกี่ยวกับยอดขายและรายได้ของบริษัทที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง และลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง

ในปี 2560 บริษัทมีรายได้สูงสุดในลำดับที่ 6 ของกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมียอดขายและรายได้ที่มาจากโครงการบ้านจัดสรรอยู่ในระดับ 13,000-15,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมลดลงอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่เลย ณ เดือนมี.ค. 2561 บริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวน 3,127 ล้านบาท เกือบทั้งหมดมาจากโครงการ “Q Sukhumvit” บริษัทคาดจะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าประมาณ 2,100 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2561 และ 1,027 ล้านบาทในปี 2562

บริษัทมีผลงานที่ดีในกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าตลาดในกลุ่มนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตของบริษัทในระยะปานกลางได้ ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่างมีขนาดค่อนข้างใหญ่และยังคงมีศักยภาพในการเติบโตแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัวก็ตาม

“ผลงานลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากปี 2560 มียอดขาย 13,780 ล้านบาทลดลงจาก 20,162 ล้านบาทในปี 2558 ส่วนไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ 2,673 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 17,106 ล้านบาทในปี 2560 จากจุดสูงสุดที่ระดับ 21,219 ล้านบาทในปี 2557 ไตรมาส 1/2561 ลดลง 5.4% อยู่ที่ 3,263 ล้านบาท รายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินคิดเป็น 70-80% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือมาจากการขายคอนโดมิเนียมและค่าเช่า การมียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ที่ค่อนข้างน้อยคาดว่าในอนาคตจะเติบโตไม่มากนักจากระดับในปัจจุบัน”ทริสระบุ

อัตราส่วนกำไรก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.98% ในปี 2560 จากระดับ 15.10% ในปี 2557 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 18.87% ในไตรมาส 1/2561 อัตราส่วนกำไรที่ลดลง มาจากอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการคอนโดมิเนียมที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2559 และ 2560 อยู่ที่ระดับ 27-28% ลดลงจากระดับ 33-35% ในช่วงระหว่างปี 2556-2558 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทเร่งการขายเพื่อระบายสินค้าคงค้าง ส่วนไตรมาส 1/2561 อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 30% ขณะที่ของโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ 35% ในช่วงไตรมาส 1/2561 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง ในช่วงปี 2561-2563 คาดรายได้ น่าจะอยู่ในช่วง 18,000-20,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75%-80% ของรายได้ทั้งหมด อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในช่วง 12%-14% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะต่ำกว่า 55% เมื่อพิจารณาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทที่มีมูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี